ที่มา - http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02edi10210949&day=2006/09/21
วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3829 (3029)
ดับค้าปลีกยักษ์ในเยอรมนี-เกาหลี
คอลัมน์ เดินคนละฟาก
โดย กมล กมลตระกูล
ห้างค้าปลีกยักษ์ได้รับอภิสิทธิ์และการต้อนรับอย่างดียิ่งในประเทศไทย เพราะว่า "เงินถึง"
จะเปิดในใจกลางเมืองก็มีเจ้าที่ดินที่พร้อมจะให้เช่าหรือขายให้โดยไม่คำนึงว่าเมื่อห้างเหล่านี้เปิดแล้วจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจรากหญ้า หรือซัพพลายเออร์ที่ต้องกลายเป็นตัวประกันเพราะขาดอำนาจต่อรอง ถือว่าธุรกิจไม่ใช่ หรือไม่ใช่เรื่องของ "กู"
ขณะนี้มีการตั้งสมาพันธ์ต้านค้าปลีกต่างชาติซึ่งมีเครือข่ายหลายสิบจังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศ แต่รัฐบาลกลางซึ่งใน ครม.ล้วนเป็นกลุ่มผลประโยชน์ หรือกลุ่มทุนใหญ่ หรือขี้ข้า (นอมินี) ของกลุ่มทุนก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังที่จะกำหนดนโยบายหรือบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ในการควบคุมห้างค้าปลีกยักษ์ไม่ให้ทำธุรกิจที่ละเมิดเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมตามมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ
ไม่เพียงแต่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น แต่เรื่องของจิตสำนึกในเรื่องผลประโยชน์ของชาติ หรือผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวม และจิตสำนึกในเรื่องความเห็นใจต่อคนจนและคนด้อยโอกาสนั้นแทบจะไม่มีอยู่ในจิตใจของข้าราชการ นักการเมืองและนักธุรกิจเอาเลย
สังคมไทยจึงเป็นสังคม "คนกินคน" เปิดช่องให้ห้างค้าปลีกยักษ์ต่างชาติ ห้างยักษ์คนไทยขยายตัวและทำลายอาชีพคนเล็กคนน้อยไปแล้วเป็นล้านๆครอบครัวในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
ข้าราชการโดยเฉพาะตำรวจมักจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ห้างยักษ์เหล่านี้ ไม่บังคับใช้กฎหมายที่ห้างเหล่านี้ละเมิด เช่น เรื่องการทำให้จราจรติดขัด เรื่องการแปลงที่จอดรถที่ กม.ผัง เมืองบังคับมาให้เช่าหรือขยายเนื้อที่ขาย แต่ไปไล่เบี้ยเอากับคนจนที่ไม่มีที่ทำกิน ต้องมาอาศัยตลาดนัด ทางเท้า หรือเดินเร่ขายของ ซึ่งมักจะถูกจับถูกทำลายสินค้าเหมือนกับเป็นโจร ทั้งๆ ที่ประกอบอาชีพสุจริต
ขณะนี้บริษัทเทสโก้ โลตัสซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติของประเทศอังกฤษได้เปิดไปแล้ว 274 แห่ง เกือบครบทุกจังหวัด มีแผนจะขยายเข้าสู่อำเภอและตำบลต่อไป ห้าง Tesco มีสาขาทั้งหมด 1,779 แห่งในทุกทวีปทั่วโลก และจ้างพนักงาน 389,258 คน มียอดขาย 50,000 ล้านเหรียญ ในปี 2005 ห้างบิ๊กซีเปิดไปแล้ว 47 แห่ง คาร์ฟูร์ 23 แห่ง และแม็คโคร 29 แห่ง
ห้างเหล่านี้ได้ดำเนินธุรกิจการค้าที่ไม่เป็นธรรมในหลายๆ ด้านโดยที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ได้ปล่อยปละละเลย ซึ่งเจ้ากระทรวงและข้าราชการระดับสูงน่าจะเจอข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เช่นเดียวกับอดีต กกต. 3 คนที่ถูกศาลตัดสินเป็นคดีตัวอย่าง
การดำเนินธุรกิจการค้าที่ไม่เป็นธรรม ที่ขัดกับกฎหมายอย่างชัดแจ้ง มีดังนี้
1.การกำหนดราคาซื้อขายสินค้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น การขายต่ำกว่าทุน เพื่อทำลายคู่แข่งรายเล็กรายน้อย
2.การเรียกรับประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม เช่น การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าที่สูงอย่างหฤโหดเป็นรายตัวสินค้าจากซัพพลายเออร์ที่ต้องการนำสินค้าเข้ามาวางจำหน่าย สินค้าบางตัวถูกเรียกเก็บสูงถึง 8 แสนบาทต่อตัว
3.การคืนสินค้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น คืนสินค้ากลับไปยังซัพพลายเออร์ โดยอ้างว่าสินค้าเก่าชำรุด สกปรก บุบสลาย หรือแล้วแต่จะยกมาอ้างทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากซัพพลายเออร์
4.การใช้สัญญาขายฝากที่ไม่เป็นธรรม
5.การบังคับซื้อขายและจ่ายค่าบริการที่ไม่เป็นธรรม เช่น การเก็บค่าโฆษณาสินค้าที่ลงในใบปลิว แผ่นพับ หรือที่ลงในหน้าโฆษณาของหนังสือพิมพ์ โดยไม่มีหลักเกณฑ์การคำนวณค่าใช้จ่ายที่แท้จริง และขาดความโปร่งใสในการเปิดเผยตัวเลขค่าใช้จ่ายนี้ เมื่อรวมยอดแล้วยอดที่เก็บจากทุกซัพพลายเออร์สูงกว่าค่าใช้จ่ายจริง เป็นการโกงกันอย่างซึ่งๆ หน้า
6.การปฏิเสธการรับซื้ออย่างไม่เป็นธรรม ทั้งๆ ที่ได้สั่งผลิตไปแล้ว
7.การกลั่นแกล้งและเลือกปฏิบัติกับซัพพลายเออร์ที่หัวแข็ง หรือที่เคยร้องเรียนขอความเป็นธรรม โดยการปฏิเสธหรือประวิงการสั่งซื้อ หรือการนำสินค้าตัวนั้นๆ ออกจำหน่าย หรือนำสินค้าออกจากหิ้ง
8.การจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม การห้ามพนักงานรวมตัวกันเป็นสหภาพ การไม่ยอมจ้างพนักงานเป็นพนักงานประจำ แต่เลือกจ้างเป็นแบบชั่วคราวเพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษีประกันสังคม และเลี่ยงการจ่ายเงินสวัสดิการพนักงาน
เมืองไทยกลายเป็นเมืองสวรรค์ของห้างเหล่านี้ แต่ในระยะยาวซัพพลายเออร์และโรงงานของคนไทยก็ต้องถูกแปรรูปเป็นขี้ข้าผลิตสินค้าให้ห้างยักษ์เหล่านี้ ถ้าไม่มีการควบคุมให้หยุดการขยายตัว แต่ในบางประเทศกลับกลายเป็นเมืองนรก โดยเฉพาะในเยอรมนีและเกาหลีใต้ซึ่งห้างค้าปลีกยักษ์วอล-มาร์ต ซึ่งเป็นยักษค้าปลีกโลกต้องถอนสมอเมื่อเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยขาดทุนมากถึง 1,000 ล้านเหรียญในช่วงเวลา 8 ปีที่เข้าไปเปิดกิจการในประเทศเยอรมนี วอล-มาร์ตเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาและได้แผ่ขยายสาขาไปทั่วโลกมากถึง 2,710 ห้างดังนี้
Wal-Mart อ้างว่ามีลูกค้าอาทิตย์ละ 175 ล้านคน ใน 15 ประเทศ และถือหุ้นในร้านค้าปลีกทั่วโลกอีก 1.8 ล้านแห่ง มียอดขายในปี 2005 เป็นจำนวนเงิน 62.7 พันล้านเหรียญ
แม้ว่าวอล-มาร์ตจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่ก็ต้องมา "ดับ" ที่ประเทศเยอรมนี และเกาหลีอย่างไม่เป็นท่าในปี 2006 โดยต้องขายให้กับบริษัทท้องถิ่นในราคาถูกๆ ด้วยสาเหตุดังต่อไปนี้
ในกรณีประเทศเยอรมนี วอล-มาร์ตต้องเผชิญกับกฎหมายการค้า (The Commercial Act) ที่ห้ามการแข่งขันการค้าอย่างไม่เป็นธรรม (Section 20 (4)-Act Against Restraints of Competition ซึ่งห้ามขายสินค้าต่ำกว่าทุนเพื่อทำลายคู่แข่ง
วอล-มาร์ตต้องเผชิญกับกฎหมายการค้า Section 335a ที่บังคับให้ต้องเปิดเผยรายงานการเงินอย่างละเอียดลออ ทำให้เลี่ยงกฎหมายหรือปกปิดพฤติกรรมที่นำเงินไปใช้อย่างผิดกฎหมาย เช่น การจ่ายค่าจ้างต่ำกว่ามาตรฐาน หรือค่าโฆษณา ฯลฯ
เยอรมนีออกกฎหมายเรียกเก็บภาษีและเงินประกันบรรจุภัณฑ์ ประเภทขวดพลาสติกบางประเภทที่ทำลายสิ่งแวดล้อม และนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จากประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าร้อยละ 80 ในห้างวอล-มาร์ต จากห้างค้าปลีกยักษ์ขนาดใหญ่
เยอรมนีมีกฎหมายบังคับเวลาเปิดปิดของห้างค้าปลีกยักษ์ โดยห้างเหล่านี้ต้องเปิดตามเวลานี้เท่านั้น คือ วันจันทร์-ศุกร์ เปิด 06.00-20.00 น. วันเสาร์ เปิด 06.00-16.00 น. และวันอาทิตย์ห้ามเปิด
นอกจากนี้ เยอรมนียังมีกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเข้มแข็ง คนงานมีสิทธิที่จะรวมตัวกันเป็นสหภาพเพื่อต่อรองค่าแรงและสวัสดิการ ความรับผิดชอบของนักการเมืองและข้ารัฐการเยอรมนี ทำให้ต้นทุนการประกอบการของห้างค้าปลีกยักษ์อย่างวอล-มาร์ตต้องสูงขึ้นและขาดทุนติดต่อกันจนต้อง "เผ่นแน่บ" หลังจากที่ทนขาดทุนมาได้ 8 ปี
นักการเมืองไทยและข้าราชการไทย รวมทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ที่มีจิตสำนึกในความเป็นไทยควรจะต้องเอาเยี่ยงอย่างประเทศเยอรมนีในการควบคุมการเติบโตของห้างค้าปลีกยักษ์ มิใช่อ้างแต่คำว่าการค้าเสรีแต่เบื้องหลังรับผลประโยชน์
ในกรณีเกาหลีวอล-มาร์ตก็ประกาศขายห้าง 16 แห่งของตนเป็นเงิน 882 ล้านเหรียญ ตามหลังห้างคาร์ฟูร์ที่ขายกิจการทั้ง 32 แห่ง เป็นเงิน 1.85 พันล้านเหรียญ ทิ้งไปให้กับกลุ่มทุนท้องถิ่นเกาหลีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2006
รัฐสภาเกาหลีใต้และนักการเมืองมีความรับผิดชอบต่อประชาชนและคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติได้ออกกฎหมายหลายๆ ฉบับคล้ายๆ กับของเยอรมนี บวกกับความรู้สึกชาตินิยมของคนเกาหลีทำให้ห้างค้าปลีกยักษ์เหล่านี้ "ม้วนเสื่อ" ไปหา กินในประเทศที่นักการเมืองและข้าราชการซื้อได้ง่ายๆ
บทเรียนของเยอรมนีและเกาหลีเป็นบทเรียนที่เครือข่ายสมาพันธ์ต้านค้าปลีกต่างชาติควรจะนำมาใช้รณรงค์กดดันนักการเมือง กระทรวงพาณิชย์ และรัฐบาลท้องถิ่น ให้ดำเนินมาตรการตามอย่างทั้งในเรื่องการออกกฎกระทรวง กฎหมาย หรือข้อบังคับอื่นๆ เช่น เรื่องการกำหนดเวลาเปิดปิด ออกข้อบังคับห้ามทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการบังคับให้ปฏิบัติตาม กม.แรงงานในเรื่องการจ้างเต็มเวลา และการจัดตั้งสหภาพคนงาน เป็นต้น
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ
- สำนักงานสถิติแห่งชาติเผยยอดค้าปลีกพุ่ง http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/06/WW02_0209_news.php?newsid=77321
- จี้รัฐบาลเร่งออกกม.คุมค้าปลีกต่างชาติ http://www.bangkokbiznews.com/2007/02/20/WW02_0201_news.php?newsid=55288
-
|