Home | แหล่งท่องเที่ยว | สำนักสงฆ์ดุซงญอ | ข้อมูลตำบล 3 | ชมรมจักายานอำเภอจะแนะ Dpcc Club | ชมรมจักรยานดซงญอไบด์ Dusongyo Bike | ผู้นำดุซงญอ | เบิกฟ้าชมวังพระยาระแงะ | Selamat Datang Dusongyo | ประวัติบ้านดุซงญอ | สภาพทั่วไปบ้านดุซงญอ | มัสยิดดุซงญอ(ร้อยเสา) | ตำนาน'กบฏดุซงญอ' | ตราพระยาระแงะ | ข้อมูลพื้นฐานชุมชน 1 | ข้อมูลพื้นฐานชุมชน 2 | ทำเนียบผู้บริหารและสมาชิก อบต.ดุซงญอ | ข้อมูลตำบล 5 | แผ่นที่ตั้งตำบลดุซงญอ | ข้อมูลตำบล 4 | แผ่นที่ตั้งชุมชนในตำบล | ชมรมออกกำลังกายเพื่อสุขภาพดุซงญอ | ข้อมูลตำบล 1 | ข้อมูลตำบล 2 | สมาคมและสุสานคนจีนดุซงญอ | ติดต่อเรา


Category
   ผู้นำของเรา บ้านดุซงญอ
   ผู้นำศาสนาตำบลดุซงญอ
   เยาวชนคนเก่ง'บ้านดุซงญอ'
   ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงค์ นักเขียนชื่อดัง
   ชัย สานุวัฒน์ คนดุซงญอ
   ทำไม?เรียกกบฏ'ดุซงญอ'
   ดุซงญอเหรอ ''กบฏ''
   อนุสาวรีย์ 'กบฏดุซงญอ' ยังอยู่
   เหตุการณ์ ๕๑ บ้านดุซงญอ
   คนจีนรุ่นแรก'บ้านดุซงญอ'
   คนจีนรุ่นสุดท้าย'บ้านดุซงญอ'
   จากอีสานสู่ 'บ้านดุซงญอ'
   โรงเรียนสวนพระยา'ดุซงญอวิทยา'
   องค์การบริหารส่วนตำบลดุซงญอ
   หัวหน้าส่วนราชการ ท้องถิ่นดุซงญอ
   โรงเรียนบ้านดุซงญอ
   สถานีตำรวจ 'บ้านดุซงญอ'
   รพ.สต.ตำบลดุซงญอ
   ที่ทำการไปรษณีย์ 'ปณ ดุซงญอ'
   บ้านแมะแซ ม.2
   บ้านสุแฆ ม.3
   บ้านรือเปาะ ม.4
   บ้านกาแย ม.5
   บ้านกาเต๊าะ ม.6
   บ้านน้ำหอม ม.7
   บ้านสาเม๊าะ ม.8
   บ้านดุซงญอ ม.1
   ผู้ก่อตั้ง จัดทำ Web sibe
   โครงการฝายในพระดำริตำบลดุซงญอ
   บ้านแอเจะ,บือจะ,ริแงตำบลผดุงมาตร
   บ้านเมาะตาโก๊ะ,ไอร์ปีแซ,ลูโบ๊ะตำบลผดุงมาตร
   บ้านน้ำวน,กูมุง,ไอร์ซือเร๊ะตำบลช้างเผือก
   บ้านไอร์บือแต,ไอร์โซ,ไอร์บาลอ,ช้างเผือกตำบลช้างเผือก
    บ้านยะออ,จะแนะตำบลจะแนะ
   บ้านมะนังกาแยง,ปารีตำบลจะแนะ
   บ้านสะโก,ไอร์กรอสตำบลจะแนะ
   บ้านตือกอ,บือแตตำบลจะแนะ
   บ้านไอร์มือแซ,ยารอตำบลจะแนะ
   อนุสาวรีย์กบฏดุซงญอ ถูกทุบ
   ดุซงญอกบฎลุกขึ้นสู้
 
Webboard
  Site Board
 
New Update
Link

free counters
Sine,November 16,2011
 

Online: 001
Visitors : 2431


 


ทำไม?เรียกกบฏดุซงญอ

 

 

ชาวบ้านกับเจ้าหน้ารัฐในเหตุการณ์ดุซงญอ

 

  

จอมพล ป. พิบูลสงคราม

4fvxue.jpg

จิน เปง หัวพรรคคอมมิวนิสต์มาลายู (กลาง)

 

 

๑.โจรจีนคอมมิวนิสต์มลายาเป็นต้นเหตุ  จีน เปง หัวพรรคคอมมิวนิสต์มาลายู นายอับดุลเลาะห์ ซีดี หัวหน้ากรม ๑๐ และนางซูรียานี ขณะนำพลพรรคคอมมิวนิสต์เข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ดุซงญอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๑ และเกิดความขัดแย้งกับชาวบ้านในพื้นที่ จนเกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้าน กรณีกบฏดุซงญอ จนนำให้ชาวบ้านเสียชีวิตเกือบ ๔๐๐ และเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ๕ คน : อ้างถึงเพจ วันวาน ณ แดนใต้ ๒๐ มิ.ย.๒๐๑๕. (ตัวเลขอาจคลาดเคลื่อน ชาวบ้านในพื้นที่บอกว่าชาวบ้านเสียไม่ถึง ๑๐๐ ศพ) 

 

                จอมพล ป.พิบูลสงคราม กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ในปี พ.ศ.๒๔๙๑ และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยควบไปด้วย รัฐบาลนี้ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาของสี่จังหวัดภาคใต้ โดยได้ออกนโยบายโดยเฉพาะดังนี้

                ๑.รัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่งเรียกว่ากรรมการพิจารณาปรับปรุงปกครอง ๔ จังหวัดภาคใต้

                ๒.รัฐบาลจะพยายามจัดรูปการปกครองให้เข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณีของ ‘’ชาวไทยอิสลาม’’ เท่าที่จะสามารถจะทำได้และกำลังจัดตั้งจุฬาราชมนตรีเพื่อประสานงานกับฝ่ายปกครอง

                ๓.รัฐบาลจะจัดการปรับปรุงระเบียบการศึกษาใน ๔ จังหวัดภาคใต้ โดยจะให้มีการสอน ภาษามลายูในระดับประถมศึกษาของโรงเรียนรัฐบาล

                ๔.รัฐบาลจะได้พยายามอุดหนุนส่งเสริมกิจการทางศาสนาอิสลาม โดยจะจัดตั้งงบประมาณช่วยเหลือในการสร้าง สุเหร่าประจำจังหวัด

                หลังจากประกาศนโยบายได้เพียง ๑๗ วันโดยยังไม่ทันได้ปฏิบัติตามนโยบาย ข้างต้นก็เกิดเหตุการณ์รุนแรงระหว่างตำรวจกับชาวมลายูมุสลิมที่จังหวัดนราธิวาสเสียก่อน

                หะยี อับดุลเราะห์มานหรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม โต๊ะเปรัค(นายอารง บาโด อดีตกำนันบอกว่า โต๊ะแปเราะ ชื่อนายหะยีอิดรุส เพราะท่านเกิดที่รัฐเปรัค และเดินทางมาอยู่ที่บ้านดุซงญอ มาตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฎ  ท่านมาเป็นครูสอนศาสนาอยู่ที่นั่นจนเป็นที่นับถือของชาวบ้านทั่วไป)

                วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๘๘ พระมหาจักรพรรคญี่ปุ่นได้ยอมยุติสงครามมหาเอเชียบูรพากับชาติพันธมิตรโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ อังกฤษก็เข้ามาปกครองแหลมมลายูเช่นเดิม ในขณะเดียวกันชาวจีนในแหลมมลายูซึ่งได้จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมลายา( Communist Party of Malaya ) ซึ่งได้ร่วมรบกับอังกฤษต่อต้านญี่ปุ่นตลอดระยะเวลาสงคราม เมื่อสงครามยุติอังกฤษประสงค์จะให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนมอบอาวุธให้แก่อังกฤษ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ยินยอมวางอาวุธ อังกฤษจึงได้ปราบปรามอย่างรุนแรง ด้วยการปิดล้อมหมู่บ้านที่เป็นแหล่งพักพิงและเสบียงอาหาร ทำให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ต้องเดินทางขึ้นทิศเหนือเข้ามายังเขตแดนติดต่อกับประเทศไทยจังหวัดนราธิวาส ยะลา และสงขลา เพื่อหนีการปราบปรามของอังกฤษ

                ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสทหารของพรรคคอมมิวนิสต์มลายาได้เข้าไปเคลื่อนไหวและหาเสียงอาหารอยู่ในพื้นที่อำเภอแว้ง อำเภอสุไหงปาดีและระแงะ ซึ่งมีเขตติดต่อกับชายแดนมลายูของอังกฤษ จนลึกเข้าไปในพื้นที่ตำบลดุซงญอ อำเภอระแงะ การเข้าไปเคลื่อนไหวหาสมาชิกและเสบียงอาหารของทหารพรรคคอมมิวนิสต์มลายนั้น ได้เกิดกระทบกระทั่งกับชาวบ้านมลายูท้องถิ่นเป็นประจำจนเป็นเหตุรุนแรงขขึ้นที่บ้านกัวลือมู(Gua Lembu) กรณีที่ชาวบ้านไม่ยอมร่วมมือส่งเสบียงอาหารให้ ทหารพรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้เผาบ้านของชาวบ้านแถบนั้นเสียหายหลายหลัง ทำให้ชาวบ้านเกิดความเกรงกลัว เมื่อความทราบถึงนาย กาลี เจ๊ะเต๊ะ กำนันดุซงญอ จึงได้แจ้งไปยังอำเภอระแงะทราบ แต่ทางอำเภอก็ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆในเรื่องนี้เนื่องจากข้อมูลการข่าวเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์มลายาเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีฐานการข่าวมากกว่านี้

                จนกระทั่งต่อมาก่อนจะเกิดเหตุประมาณ ๓ เดือน ทหารพรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาปิดล้อมบ้านกำนัน แล้วปล้นเอาทรัพย์สินต่างๆจากบ้านกำนันพร้อมกับยิงปืนเข้าไปในบ้านกำนันเสียหาย แล้วล่าถอยไป พร้อมกับเกณฑ์ชาวบ้านแบกเสบียงอาหารและสิ่งของต่างๆที่ปล้นมาได้ ให้ไปส่งยัง เชิงเขาไอตือกอ เมื่อถึงบริเวณนั้น ชาวบ้านหลายคนทิ้งสิ่งของพากันหลบหนี

๒. ชาวบ้านรวมกลุ่มต้านโจรจีนคอมมิวนิสต์ กลับกลายเป็นกบฏ

                ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์รุนแรงบานปลาย แจ้งทางอำเภอแล้วก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขประการใด ชาวบ้านจึงไปปรึกษาโต๊ะเปรัค ซึ่งเป็นครูสอนศาสนาที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ ก็ได้รับการแนะนำให้จัดตั้งกองกำลังเพื่อต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์มลายา โดยทางโต๊ะเปรัค จะทำพิธีทางศาสนา ดังนั้นชาวบ้านจึงได้รวมกันที่บ้านกัวลือมู ทำพิธีทางศาสนาขึ้นบนภูเขาบ้านกัวลือมูเป็นเวลานานประมาณ ๑ สัปดาห์ นอกจากนั้นโต๊ะเปรัค ยังทำพิธีต้มน้ำมันเพื่อเป็นน้ำมนต์ให้ชาวบ้านได้ใช้ประพรมทาตัวเป็นน้ำมนต์ให้เกิดศิริมงคลด้วย

                ก่อนเกิดเหตุการณ์ประมาณ ๒ วัน มีชาวจีนจากระแงะชื่อนายบุนกี่ หรือชาวบ้านเรียกว่าเจ๊ะมะ นำสินค้าไปขายในตลาดดุซงญอ ได้ถูกนายสะแปอิง ชาวบ้านดุซงญอใช้มีดฟันบาดเจ็บ ทางอำเภอจึงได้ส่งปลัดอำเภอท่านหนึ่งชื่อ นายมนูญ เสมียนอำเภอคนหนึ่งและ ตำรวจอีกคนหนึ่งออกไปสืบสวนข้อเท็จจริง ที่บ้านดุซงญอ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปแอบดูการทำพิธีที่บนภูกัวลือมู พบกับชาวบ้านที่ไปทำพิธี ชาวบ้านก็พากันขับไล่เจ้าหน้าที่ทั้งสองต่างก็หลบหนีกลับไปยังอำเภอและเล่าเหตุการณ์ให้ทางอำเภอ เชื่อว่าเป็นการเตรียมการเพื่อก่อการกบฏ ซึ่งเวลาก่อนหน้านั้นมีกรณีการจับกุมนายหะยีสุหลง ที่จังหวัดปัตตานี ทางราชการจึงได้เชื่อว่าการชุมนุมของชาวบ้านดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อก่อเหตุร้ายและต่อต้านรัฐบาลในกรณีหะยีสุหลงฯ ถูกจับกุมทางการจึงเรียกเหตุการณ์นั้นว่า’’กบฏดุซงญอ’’

                สถานการณ์ในพื้นทีดังกล่าวยิ่งตึงเครียด เหตุการณ์ได้ถูกรายงานไปยังจังหวัด ทางจังหวัดไดรายงานต่อไปจนถึงกระทรวงมหาดไทย และรัฐบาลได้ส่งกำลังตำรวจจากสงขลา ยะลา สมทบกันตำรวจจากนราธิวาส เข้าไปเพื่อทำการปราบปรามเหตุการณ์ที่เรียกว่า’’กบฏดุซงญอ’’ให้เด็ดขาด โดยมี พ.ต.ท.บุญเลิศ เลิศปรีชา เป็นหัวหน้าคณะ ร.ต.ต.พิงพันธ์ เนตรรังสี ร.ต.ต.กรี ไม่ทราบนามสกุลเป็นทีมงาน

                คุณวรมัย กบิลสิงห์ ได้เล่าในหนังสือ ดุซงญอ ๒๔๙๑ ว่า

                ‘’คุณประยูร ชันสุพัฒน์ ให้ข่าวว่า

                เหตุการณ์ในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๙๑ ตอนเช้าตำรวจมาถึงศาลาพักร้อน ซึ่งห่างจากตลาดดุซงญอ ราวครึ่งกิโลเมตร รองผู้กำกับบุญเลิศ เลิศปรีชา ร.ต.ท.กรี  ร.ต.ต.พิงพันธ์ เนตรรังสี กับพลประมาณ ๒๘  สั่งแยกเป็น ๒ หน่วย

                หน่วยที่ ๑ ร.ต.ต. พิพันธ์ เนตรรังสี กับพล ๒๘ นาย หน่วงที่ ๒ รองผู้กำกับบุญเลิศ เลิศปรีชา ร.ต.ท.กรี กับพลประมาณ ๑๔ คนหน่วยที่ ๑ และที่ ๒ ซุ่มอยู่ช้างทางห่างกันราว ๒๐๐ เมตร หน่วยที่ ๑ แบ่งกองล่อออกไป ๔ นาย

                พอกองล่า ๔  นาย ซึ่งมี สิบตรีสง รุ่งเรือง เป็นหัวหน้า เดินไปถึงที่อยู่ของพวกจลาจล พอมันเห็นก็ตีกลองใหญ่แล้วโห่ร้อง ยา ซัลญาลา ลีวัลอิกรอม วิ่งถือดาบ ถือปืนกรูออกมาไม่เป็นระเบียบช้าบ้างเร็วบ้าง คนหัวหน้าแต่งตัวด้วยผ้าขาวคาดเอวด้วยผ้าแดง เดินพนมมือชูดาบว่าค่าออกมา พอทันกันก็ลงมือฟัน

                พวกกองล่อ ๔ คนพอล่อให้มันออกมาแล้วก็ถอย ถอยพลางยิงพลางจนกระสุนหมด จะบรรจุกระสุนใหม่ไม่ทัน จึงเอาปืนตีมัน มันก็ยิ่งบ้าเลือกใหญ่ เข้าล้อมรอบตัวกองลาดตระเวรทั้ง ๔ และเข้าแย่งเอาปืนไปได้        

                สี่เสือไทยได้เข้าชกต่อยต่อสู้เป็นสามารถ แต่เพราะน้อยตัวกว่ามากนักจึงเสียชีวิตทั้ง ๔ นาย

                เมื่อได้เกิดการตะลุมบอนแก่กองตระเวน ดังนั้นรองผู้กำกับการบุญเลิศ เลิศปรีชา จึงสั่งยิง ยิงพร้อมกันทั้ง ๒ หน่วย พวกจลาจลไม่หนีกระสุนกลับดาหน้าเข้ามา จึงเกิดต่อสู้กันในระยะใกล้ชิด พวกเราน้อยกว่ามาก พวกจลาจลราว ๓๐๐ คน...ฯลฯ

                เหตุการณ์ปะทะระหว่างตำรวจไทยกับมลายูในวันที่ ๒๖ นี้ตำรวจไทยเสียชีวิต ๔ นาย บาดเจ็บ ๑ นาย มลายูประมาณ ๑๐ คน(ไม่แน่นอนเพราะเราเป็นฝ่ายถอย)

                เหตุการณ์ในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๙๑ ตอนค่ำ ตำรวจทางจังหวัดใกล้เคียงมาช่วยเหลือคือ

                ๑.สายยะลา ร.ต.อ. อรรถถพล สูยะโภชน์ ร.ต.ต.ประยูร ชั้นสุพัฒน์ กับพล ๒๐ นาย

                ๒.สายปัตตานี พล ๓๐ นาย นายสิบมาส่งแล้วกลับก่อน

                ทั้ง ๓ สายนี้เดินทางรวมกันที่ตันหยงมัส (อำเภอระแงะ)แล้วแยกเดินทางมาพักที่ตำบลกลีซา ๑ คืน รอฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือ

                ๒๗ เมษายน ๒๔๙๑ เช้าวันนี้รองผู้บังคับการแฝดกับกำลังพลจากสงขลา ประมาณยี่สิบกว่าคนมาถึง(หมู่บ้าน)กลีซา หลังอาหารเช้าแล้วก็ได้จัดการแยกหน่วยเดินทางตามลำดับหน่วย พักกลางป่าแห่งนี่ จนถึงราว ๑๓.๐๐ น. ถึงควนสูงกลางป่าจวนจะออกทุ่งพวกเราได้ยินเสียงโห่ร้อง จึงตั้งแถวขยายตามที่จัดมา

                พอตั้งเสร็จอย่างด่วน เสียงโห่ร้องใกล้เข้ามาและเห็นคนมาทางถนนประมาณ ๓๐ คนเศษออกมายืนยันตรงถนนมองมาทางเรา พร้อมกันนี้ก็ได้ยินเสียงปืนฝ่ายจลาจนดัง ๔-๕ นัด รองผู้บังคับการแฝดสั่งยิงโต้ตอบไปบ้าง

                ก็เห็นพวกมันตรงเข้ามาและเสียงปืนกระชั้นใกล้

                พวกเราก็ยิงโต้ตอบไป พวกที่อยู่กลางถนนแทนที่จะดานหน้าเข้ามาอย่างวันแรกกลับตีโอบปีกขวาอย่างหนัก การต่อสู้ดำเนินไป ๓ ชั่วโมงเศษ ท่านผู้ใหญ่เกรงว่าจะค่ำจึงสั่งถอย ในขณะที่กำลังถอยพวกแขกที่ตีโต้หนักทางขวามือได้ยิงถูก พลสมัครวิน ไกรเลิศ ตาย เพื่อนได้ช่วยหามไปและถอยไปรวมกันทั้งหมดที่(บ้าน)กลีซา

                รอฟังคำสั่งอีก ๒ วัน จึงได้ยกเข้ามายึดดุซงญอ โดยเหตุการณ์ ปกติ สืบทราบภายหลังว่าพวกแขกถอยตั้งแต่วันต่อสู้ครั้งหลัง

                การต่อสู้ครั้งหลัง โดยมากพวกแขกซุ่มอยู่ตามในป่าและออกมาโอบตีปีกขวาอย่างหนักและเปิดเผยอาวุธของพวกมันมีทั้งปืนและดาบ ที่เขาว่าไม่มีปืนนั้นไม่จริง ตำรวจที่ตายเช่น พลสมัครวิน ไกรเลิศ ก็ถูกปืนที่หัว

                พบกระสุนปืนคาร์ไบน์และปลอกกระสุนจำนวนมากในป่า ตำรวจไทยเสียชีวิตทั้งหมด ๕ นาย บาดเจ็บ ๑ นาย มลายูตายประมาณ ๓๐ กว่าคน บาดเจ็บไม่ทราบจำนวน

                ในบันทึกเหตุการณ์กบฏดุซงญอ ของวรมัย กบิลสิงห์ (เพิ่มเติม)

๒๕ เมษายน ๒๔๙๑ จึงได้มีชาวไทยมุสลิมรวมกันราว ๑,๐๐๐คน เข้าจู่โจมกองกำลังตำรวจไทยใกล้ชายแดนรัฐกลันตัน

                 การปะทะเกิดขึ้นในเวลาเช้าอย่างรวดเร็วแบบแตกหัก ชาวไทยมุสลิมในหมู่บ้านดุซงญออันเป็นจุดปะทะกล่าวว่าตำรวจไทยเป็นฝ่ายยิงก่อนด้วยความระแวง เพราะไทยมุสลิมกลุ่มนั้นเพิ่งกลับมาจากมาเลเซีย

                แท้จริงพวกเขากลับมาดุซงญอ เพราะเกรงตำรวจไทยเข้าใจผิดว่าเป็นโจรจีนคอมมิวนิสต์(จคม.)อาจไม่ปลอดภัย แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไรการเผชิญหน้าก็ได้ขยายตัวใหญ่อย่างรวดเร็ว

                การปะทะกันเมื่อ ๒๕ เมษายน ๒๔๙๑ นี้มีคนตาย ๓๐ ถึง ๑๐๐ คน ฯลฯ

                ๒๖ เมษายน ๒๕๙๑ หน่วยรบพิเศษส่วนกลางได้รับการสนับสนุนจากเรือรบและเครื่องบินโจมตีอีก ๓ ลำ ก็ยกพลพร้อมอาวุธปืนเข้ากวาดล้างชาวบ้านดูซงญอ จำนวนมากกว่า ๑๐๐ คน และถูกปะทะตรึงไว้ด้วยคนที่นั้นราว ๑๐๐ คน และฝ่ายตำรวจก็ถอนกำลังออกไปอีกครั้ง

                และกลับมาอีกด้วยแผนเผด็จศึกก่อนรุ่งอรุณ

                ๒๘ เมษายน ๒๕๙๑ ระหว่างที่ชาวไทยมุสลิมกำลังปฏิบัติศาสนกิจ ทำละหมาดก่อนตะวันขึ้น(ละหมาดซุบฮิ)ในสุเหร่าตือกอ... เสียงแห่งอำนาจจากรัฐ(เสียงปืน) ก็ดังกึกก้องไปทั้งดุซงญอและเนิ่นนาน

                จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และสรุปว่า ‘’โศกนาฏกรรมดุซงญอนั้นเกิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแทรกแซงศาสนกิจอิสลาม’’

                อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเหตุการณ์ที่หมู่บ้านดุซงญอ ก็ถูกปกปิดหวังให้กาลเวลากลบกลืนไป.......

                นายอับดุลซามัด อิบราฮิม(นายสมรรภ เอี่ยมวิโรจน์) สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรนราธิวาสได้ตั้งกระทู้ในสภาผู้แทนราษฏรโดยกล่าวว่า ‘’ทางการตำรวจไทยได้ออกติดตามไล่ล่าประชาชนมุสลิมไม่น้อยกว่า ๖,๐๐๐ คน ต้องอพยพหลบหนีไปยังดินแดนมลายู(มาเลเซียปัจจุบัน) รวมทั้งโต๊ะครูฮาญีอับดุลเราะห์มานหรือโต๊ะเปรัค ด้วยถ้าพบปะประชาชนคนใดเดินทางกลับก็จะถูกจับกุมโดยกล่าวหาว่าร่วมก่อการกบฏเพื่อต่อต้านรัฐบาล’’

                จริงอยู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายนั้นเกิดจากข้อวิพากษ์วิจารณ์ จากสื่อในมลายู นอกจากนี้ยังมีเสียงวิพากวิจารณ์จากเติงกูมะห์หมูด มะไฮยิดดีน ว่า นโยบายดังกล่าวเป็นเพียงเศษกระดาษเท่านั้นหาได้มีการปฏิบัติจริงไม่ หนังสือพิมพ์หลายฉบับในสิงค์โปร์วิจารณ์ในลักษณะที่ไม่เชื่อมั่นในนโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เนื่องจากท่านเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่มีอคติและต่อต้านชาวมลายู

 

 อ้างอิง : ปาตานี ประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู อารีฟีน บินจิ,  อ.ลออแมน, ซูฮัยมีย์ อิสมาแอล หน้า ๒๘๒ – ๒๙๐

http://www.sac.or.th/exhibition/aseantimeline/2491-


Page 1/1
1
Copyright © 2005 หมู่บ้านดุซงญอ Allrights Reserved.
Powered By www.Freethailand.com