Home | แหล่งท่องเที่ยว | สำนักสงฆ์ดุซงญอ | ข้อมูลตำบล 3 | ชมรมจักายานอำเภอจะแนะ Dpcc Club | ชมรมจักรยานดซงญอไบด์ Dusongyo Bike | ผู้นำดุซงญอ | เบิกฟ้าชมวังพระยาระแงะ | Selamat Datang Dusongyo | ประวัติบ้านดุซงญอ | สภาพทั่วไปบ้านดุซงญอ | มัสยิดดุซงญอ(ร้อยเสา) | ตำนาน'กบฏดุซงญอ' | ตราพระยาระแงะ | ข้อมูลพื้นฐานชุมชน 1 | ข้อมูลพื้นฐานชุมชน 2 | ทำเนียบผู้บริหารและสมาชิก อบต.ดุซงญอ | ข้อมูลตำบล 5 | แผ่นที่ตั้งตำบลดุซงญอ | ข้อมูลตำบล 4 | แผ่นที่ตั้งชุมชนในตำบล | ชมรมออกกำลังกายเพื่อสุขภาพดุซงญอ | ข้อมูลตำบล 1 | ข้อมูลตำบล 2 | สมาคมและสุสานคนจีนดุซงญอ | ติดต่อเรา


Category
   ผู้นำของเรา บ้านดุซงญอ
   ผู้นำศาสนาตำบลดุซงญอ
   เยาวชนคนเก่ง'บ้านดุซงญอ'
   ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงค์ นักเขียนชื่อดัง
   ชัย สานุวัฒน์ คนดุซงญอ
   ทำไม?เรียกกบฏ'ดุซงญอ'
   ดุซงญอเหรอ ''กบฏ''
   อนุสาวรีย์ 'กบฏดุซงญอ' ยังอยู่
   เหตุการณ์ ๕๑ บ้านดุซงญอ
   คนจีนรุ่นแรก'บ้านดุซงญอ'
   คนจีนรุ่นสุดท้าย'บ้านดุซงญอ'
   จากอีสานสู่ 'บ้านดุซงญอ'
   โรงเรียนสวนพระยา'ดุซงญอวิทยา'
   องค์การบริหารส่วนตำบลดุซงญอ
   หัวหน้าส่วนราชการ ท้องถิ่นดุซงญอ
   โรงเรียนบ้านดุซงญอ
   สถานีตำรวจ 'บ้านดุซงญอ'
   รพ.สต.ตำบลดุซงญอ
   ที่ทำการไปรษณีย์ 'ปณ ดุซงญอ'
   บ้านแมะแซ ม.2
   บ้านสุแฆ ม.3
   บ้านรือเปาะ ม.4
   บ้านกาแย ม.5
   บ้านกาเต๊าะ ม.6
   บ้านน้ำหอม ม.7
   บ้านสาเม๊าะ ม.8
   บ้านดุซงญอ ม.1
   ผู้ก่อตั้ง จัดทำ Web sibe
   โครงการฝายในพระดำริตำบลดุซงญอ
   บ้านแอเจะ,บือจะ,ริแงตำบลผดุงมาตร
   บ้านเมาะตาโก๊ะ,ไอร์ปีแซ,ลูโบ๊ะตำบลผดุงมาตร
   บ้านน้ำวน,กูมุง,ไอร์ซือเร๊ะตำบลช้างเผือก
   บ้านไอร์บือแต,ไอร์โซ,ไอร์บาลอ,ช้างเผือกตำบลช้างเผือก
    บ้านยะออ,จะแนะตำบลจะแนะ
   บ้านมะนังกาแยง,ปารีตำบลจะแนะ
   บ้านสะโก,ไอร์กรอสตำบลจะแนะ
   บ้านตือกอ,บือแตตำบลจะแนะ
   บ้านไอร์มือแซ,ยารอตำบลจะแนะ
   อนุสาวรีย์กบฏดุซงญอ ถูกทุบ
 
Webboard
  Site Board
 
New Update
Link

free counters
Sine,November 16,2011
 

Online: 001
Visitors : 81106

 

 

จุดที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งคือการตัดสินใจเดินนโยบายที่ “แข็ง” และ แรง ที่เด็ดขาด แต่ไม่ค่อยมีสติและปัญญาเท่าไรนัก ต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มมุสลิมภาคใต้ภายใต้รัฐบาลควง () ซึ่งมีอายุการทำงานสั้นๆเพียง ๓ เดือน แต่สร้างผลสะเทือนและปมเงื่อนของปัญหาในภาคใต้ไว้มหาศาล 

 

ประการแรกคือความล้มเหลวของการเจรจาระหว่างกลุ่มมุสลิมภาคใต้กับรัฐบาล  และประการที่สองคือการสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงต่อปัญหามุสลิมภาคใต้

แปดเดือนก่อนรัฐประหารพฤศจิกายน ๒๔๙๐ มีการตั้ง คณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ใน ๔ จังหวัดภาคใต้ขึ้น เพื่อสืบสวนและเสนอแนะปรับปรุงสภาพการณ์เลวร้ายต่างๆที่กำลังเป็นอยู่ จากการพบปะพูดคุยกันนำไปสู่การเกิดข้อเสนอ ๗ ข้อของกลุ่มมุสลิมที่มีฮัจญีสุหลงเป็นผู้นำ หลังการรัฐประหาร การเจรจาทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างกลุ่มมุสลิมภาคใต้กับรัฐบาลค่อยๆลดลงแล้วกลายเป็นการเผชิญหน้ากัน 

มีเหตุการณ์ที่เพิ่มแรงกดดันให้แก่นโยบายเหยี่ยวของรัฐบาลควง() คือในเดือนธันวาคมปีนั้นเกิดกรณีสังหารตำรวจที่หมู่บ้านบาลูกาสาเมาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส โดยกลุ่มโจร เมื่อตำรวจทราบได้ส่งกำลังไปยังหมู่บ้าน จับชาวบ้านไปทรมานสอบสวนหาฆาตกร จากนั้นเผาหมู่บ้านเป็นเถ้าถ่านเพราะความแค้น เป็นเหตุให้ชาวบ้าน ๒๙ ครัวเรือนไร้ที่อยู่อาศัย

นี่เองทำให้รัฐมนตรีมหาดไทยในรัฐบาลควง(๓) คือพลโท ชิด มั่นศิลป สินาดโยธารักษ์ ซึ่งถือปัญหาสี่จังหวัดภาคใต้เป็นเรื่องรีบด่วนสองเรื่องที่จะต้องจัดการอย่างเด็ดขาด (เรื่องหนึ่งคือปัญหาคอร์รัปชั่น) เพราะ “ได้ระแคะระคายว่า ชาวพื้นเมืองมีความไม่พอใจในการปกครองของรัฐบาลทวีขึ้น ประจวบกับเหตุที่มลายูได้รับเอกราช จึงบังเกิดความตื่นตาตื่นใจตามไปด้วยเป็นธรรมดา และเป็นช่องทางให้ผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ฉวยโอกาสหาทางถีบตัวขึ้นเป็นใหญ่ หาสมัครพรรคพวก ก่อหวอดเพื่อจะแบ่งแยกดินแดนออกจากประเทศไทยไปรวมกับรัฐมาเลเซีย หรือไม่ก็จัดเป็นกลุ่ม แยกตัวออกไปเป็นอิสระโดยเอกเทศ นับว่าเป็นเรื่องที่จะรีรออยู่ไม่ได้ จะต้องขจัดปัดเป่าให้สถานการณ์ดีขึ้นก่อนที่จะทรุดหนักจนเหลือแก้”[i]

ปมเงื่อนสำคัญในการไปบรรลุเป้าหมายดังกล่าวอยู่ที่การหาผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีคนใหม่ ที่”มั่นคงจงรักภักดีต่อประเทศ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์….ต้องกล้าหาญ เอาการเอางานเพื่อเสี่ยงภัยต่อการใช้พระเดช….ต้องรู้ภาษามลายูดีทั้งเป็นที่เชื่อถือของคนพื้นเมือง”  หน้าที่เร่งด่วนของผู้ว่าฯคนใหม่นี้คือ “สืบหาตัวการที่คิดแบ่งแยกดินแดน ค้นหาเหตุที่ราษฎรเดือดร้อน…” ในที่สุดก็ได้ตัวพระยารัตนภักดี (แจ้ง สุวรรณจินดา) อดีตผู้ว่าราชการปัตตานี จากปี ๒๔๗๒ ๗๖ โดยถูกออกจากราชการ เหตุเพราะเปลี่ยนแปลงการปกครอง 

ในเวลาเดือนเดียว พระยารัตนภักดีก็รายงานไปยังรัฐมนตรีมหาดไทย ว่าสืบได้ตัวหัวหน้าผู้คิดก่อการแยกดินแดนแล้ว นั่นคือการจับกุมฮัจญีสุหลงในวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑[ii] ซึ่งทำให้เกิดการประท้วงจากชาวมุสลิมภาคใต้มากมาย จนต้องย้ายการพิจารณาคดีไปยังศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช  กล่าวโดยสรุป สถานการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ในขณะนั้นกำลังคุกรุ่นและร้อนแรงขึ้นทุกวัน สภาพทางเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านยังอยู่ในสภาพหลังสงครามโลก ที่ขาดแคลนและมีตลาดมืด ทำให้สินค้าราคาแพงและหายาก โจรผู้ร้ายก็ชุกชุม รวมถึงโจรที่มาจากฝั่งมลายาด้วย ซึ่งชาวบ้านและทางการเรียกรวมๆว่า “โจรจีนคอมมิวนิสต์” [iii]

ในที่สุดก็มาถึงวันที่เกิดการปะทะกันระหว่างชาวบ้านในหมู่บ้านดุซงญอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาสกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๙๑  ดังรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์สยามนิกรขณะนั้นดังต่อไปนี้

 

รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์สยามนิกร ฉบับวันพุธที่ ๒๘ เมษายน พ.. ๒๔๙๑

 

เกิดจลาจล ต่อสู้ที่นราธิวาส คนสำคัญบิน

จลาจลมีปืนต่อสู้รถถัง พร้อมด้วยอาวุธทันสมัย.

 

   วิทยุกระจายเสียงรอบเช้าวานนี้ประกาศข่าวรวบรวมหลายกระแสร์ว่า ได้เกิดปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับราษฎรครั้งใหญ่ ในจังหวัดนราธิวาส ข่าวนั้นได้ยังความตื่นเต้นกันทั่วไป

   จากข่าววิทยุนั้นแสดงให้เห็นว่า ความยุ่งยากในบริเวณ ๔ จังหวัดภาคใต้ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ราษฎรกลุ่มหนึ่งในอำเภอระแงะจังหวัดนราธิวาสประมาณ ๑ พันคน ได้ก่อการจลาจลต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ในโทรเลขซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองรายงานมายังกระทรวงมหาดไทย ใช้คำว่า ก่อการขบถแต่รัฐมนตรีนายหนึ่งแถลงแก่คนข่าวของเราว่า บุคคลเหล่านั้นมักใหญ่ใฝ่สูงก่อการจลาจล

การต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับราษฎร ๑ พันคนนั้น ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ทานกำลังไม่ไหว  เนื่องจากมีอาวุธต่อสู้ทันสมัยเช่นเสตน คาร์ไบน์ ลูกระเบิดแม้แต่กระทั่งปืนต่อสู้รถถังก็ยังมีเช่นเดียวกัน  โทรเลขฉบับแรกซึ่งส่งเข้ามายังมหาดไทยเมื่อบ่ายวันที่ ๒๖ เดือนนี้ เพื่อขอให้ส่งกำลังไปช่วยเหลือโดยด่วนนั้น  ทราบว่าอธิบดีตำรวจได้เรียกประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่โดยฉับพลัน เพื่อจัดส่งกำลังไปช่วยเหลือตามที่โทรเลขแจ้งมา.

     ภายในวงการรัฐบาล เนื่องจากความยุ่งยากดังกล่าวนี้เป็นปัญหาใหญ่ จำเป็นที่จะต้องส่งรัฐมนตรีไประงับเหตุร้ายนั้นโดยด่วน  มหาดไทยจึงเสนอให้จัดส่งตัวแทนของรัฐบาลไปยังท้องที่ๆเกิดเหตุ โดยมอบให้นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเจ๊ะ รัฐมนตรีและผู้แทนจังหวัดสตูล พร้อมด้วยสมาชิกสภาซึ่งคุ้นเคยกับชาวอิสลามไประงับเหตุ  นายเจ๊ะอับดุลลาห์ เป็นชุดแรกที่รัฐบาลออกไป ถ้าหากเหตุการณ์ยังตึงเครียดอยู่ นายเลียง ไชยกาล รัฐมนตรีช่วยว่าการมหาดไทย จะเดินทางติดตามไปอีกคณะหนึ่ง.

     เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์อันแท้จริง  ในบริเวณที่เกิดเหตุนั้น มหาดไทยได้โทรเลขเรียกเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องมารายงานด้วยตนเองโดยด่วน  เพราะโทรเลขที่รายงานเข้ามาไม่ชัดแจ้งพอที่จะหยั่งรู้ความเป็นจริงได้.

     นอกจากเหตุร้ายที่นราธิวาส ก็ปรากฏว่าที่ปัตตานีก็ได้เกิดเช่นเดียวกัน  รายงานข่าวที่เข้าสู่กรุงเทพฯ จากตำรวจปัตตานีแจ้งว่า บัดนี้พวกก่อการร้ายทางปักษ์ใต้ กำลังวางแผนการณ์อย่างทะมัดทะแมง ในอันจะก่อให้เกิดความแตกแยกและความเข้าใจผิดกันขึ้นในกลุ่มราษฎรอิสลาม.

พวกก่อการร้ายนี้  ขนานนามตนเองว่าโจร บลูกาซาเมาะมี เจ๊ะ ซานิกาจี  แว๊ะมาเส็ง และคนอื่นๆอีกหลายคนเป็นหัวหน้า  และมีข่าวว่าเจ๊ะ.............ได้ถูกยิงตายก่อนหน้านี้เล็กน้อย โดยได้ยิงต่อสู้กับตำรวจปัตตานีที่ตำบลกระสอ.

     โจรเหล่านี้แบ่งเป็น ๕ พวกๆละ ๓๐ คน  มีปืนสเตน คาร์ไบน์ ระเบิดมือ และปืนแบบพระราม ๖ แต่ดัดแปลงลำกล้องปืนให้มีคุณภาพดีขึ้น พร้อมกับได้รับการฝึกอบรมให้ก่อวินาศกรรม  โดยทำลายที่ทำการรัฐบาล สะพาน สายโทรเลขแถบถนนสายบุรี ตากใบ ยีนกอ ละมาโซ  ตำรวจจับหัวหน้าโจรเหล่านี้ได้คนหนึ่ง ชื่อโต๊ะหยีดูเอลามา หรือโต๊ะลาลอย  และนำตัวมาสอบสวน  แต่เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเสียเลือดเนื้อ โดยได้รับคำเตือนจากสมุนของโต๊ะผู้นี้เป็นจำนวนมาก จึงปล่อยตัวไป ขณะนี้ปรากฏว่าโต๊ะลาลอยซ่อนตัวอยู่ระหว่างกลันตันกับปีนัง.

 

สยามนิกร ฉบับวันเดียวกัน รายงานอีกข่าวดังนี้

นายกสั่งระงับเหตุร้าย รุนแรงให้ทหารปราบ

รายงานข่าวหลังที่สุดเกี่ยวกับจลาจลในนราธิวาส ซึ่งรัฐบาลได้ส่งตัวแทนรุ่นที่ ๑ ออกไป มีนายเจ๊ะอับดุลลาห์ เป็นหัวหน้านั้น ทราบว่าประกอบไปด้วย พล... หลวงชาติตระการโกศล อธิบดีกรมตำรวจ และพ.. เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งได้ขึ้นเครื่องบินไปแล้วเมื่อเช้าวันนี้.

ตัวแทนชุดที่ ๑ ได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี ให้ไปเจรจา อย่างละม่อมกับหัวหน้าของราษฎรซึ่งลุกฮือขึ้นนั้น เพื่อมิให้เสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็น และถ้าเหตุการณ์ยังคงรุนแรง ก็ให้ตัวแทนชุดนี้ใช้อำนาจทหาร ซึ่งตั้งอยู่ที่คอหงษ์ จังหวัดสงขลาปราบปรามต่อไป

ทหารไปสังเกต

ด้านกระทรวงกลาโหม ได้ส่งนายทหารชั้นผู้ใหญ่โดยสารเครื่องบินไปสังเกตการณ์ก่อการจลาจล  ซึ่งเข้ายึดตันหยงมาส จังหวัดนราธิวาสเหมือนกัน พลโทหลวงสุข ชาตินักรบ รัฐมนตรีกลาโหมได้ตอบข้อความผ่านทาง พ.. สนิท ทองภูเบศร ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่า หากพวกเหล่านี้ได้ก่อการจลาจลขึ้น ตามข่าวที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้แล้ว ทางกลาโหมก็ถือเป็นหน้าที่ ต้องเข้าช่วยรักษาความปลอดภัยแห่งราชอาณาจักร จะได้สั่งใช้กำลังทหารในกองพลอิสระภาคใต้ เข้าร่วมทำการปราบปรามทันที

ไม่ยึดเมือง

ในด้านกรมมหาดไทย พระยารามราชภักดี อธิบดีชี้แจงโดยได้แสดงความเห็นว่า คงไม่ถึงยึดเมืองอะไรหรอก เพราะถ้ายึดเมือง ก็ต้องยึดสถานีรถไฟก่อน นี่เป็นการปล้นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลเท่านั้น

ตึงเครียดมานาน

ก่อนเกิดเหตุใหญ่ สถานการณ์ตึงเครียดมานานแล้ว ด้านนี้ ๖ โมงเย็น ผู้คนไม่กล้าไปไหนมาไหนโดยลำพัง อาหารการกินก็อัตคัดมานาน  ในที่สุดเหตุใหญ่จึงระเบิดขึ้น

 

สยามนิกร ฉบับวันพฤหัสฯที่ ๒๙ เมษายน ๒๔๙๑

จลาจลยึด ๒ หมู่บ้านเป็นป้อม

อาจประกาศใช้กฎอัยการศึก

รัฐบาลพิจารณาข้อเรียกร้องรวม ๗ ข้อ   ผู้แทนชุด ๒ เตรียมไป  เขมชาติว่าถ้าไม่มีต่างประเทศหนุนหลัง เหตุการณ์อาจจะสงบใน ๒ วัน

เหตุร้ายในอำเภอระแงะจังหวัดนราธิวาสเช้าวานนี้ มีรายงานข่าวต่อมาว่า พวกก่อการจลาจลได้ยึดเอาหมู่บ้านจะแนะ กับหมู่บ้านลุงยอตั้งเป็นป้อม เพื่อทำการต่อสู้กับกำลังฝ่ายปราบปรามของรัฐบาล  และตั้งข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาข้อเรียกร้องของอิสลามิกชนในบริเวณ ๔ จังหวัด(ภาคใต้) ๗ ข้อ  ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่เคยเสนอรัฐบาลมาครั้งหนึ่งแล้ว  มีรายงานว่ามหาดไทยได้เสนอให้รัฐบาลพิจารณาข้อเรียกร้องเหล่านั้น  และเช้าวานนี้ คณะรัฐมนตรีก็ได้ประชุมเพื่อพิจารณาสถานการณ์อันรุนแรงโดยด่วน.

รัฐบาลได้มีการประชุมปรึกษาหารืออ่างเคร่งเครียด รัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย นายเลียง ไชยกาล ซึ่งมีกำหนดการเดินทางไปวันที่ ๒๗ นั้น ได้ระงับการเดินทางเพื่อฟังข่าวด่วน........(ต้นฉบับไม่ชัดอ่านไม่ออก).............................................

ขอความร่วมมือ

นายเลียง ไชยกาลได้เชิญนายสมรรถ เอี่ยมวิโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนนราธิวาส นายจรูญ สืบแสง สส. ปัตตานี มาปรึกษาขอความร่วมมือ  ในฐานที่เป็นผู้แทนจังหวัดนั้น และเป็นผู้กว้างขวางในหมู่อิสลาม ๔ จังหวัด  ผู้แทนทั้ง ๒ คนนี้ ตอบรับว่าจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และจะเดินทางร่วมไปกับคณะของนายเลียง ไชยกาลด้วย  พร้อมกันนี้ นายเขมชาติ บุณยรัตพันธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการมหาดไทย.........................................(เดาจากโปรยหัวข่าว นายเขมชาติกล่าวว่า ว่าถ้าไม่มีต่างประเทศหนุนหลัง เหตุการณ์อาจจะสงบใน ๒ วัน)

หัวหน้าผู้แทนว่าหนักใจ วิตกเหตุการณ์ครั้งนี้ร้ายแรง

ว่าถ้าไม่พบมไฮยิดดิน ไม่ได้เรื่อง

การกดขี่ข่มเหง ซึ่งเจ้าหน้าที่กระทำต่อราษฎรในจังหวัดนราธิวาส เป็นเหตุใหญ่เหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการจลาจลขึ้น”  นายสมรรถ เอี่ยมวิโรจน์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส ชี้แจงแก่คนข่าวของเราเมื่อเย็นวันที่ ๒๗ เดือนนี้  ข้อร้องให้ย้ายเจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมย้าย  อยู่ดีๆก็ยิงทิ้งเสียบ้างเช่นนี้ ความเดือดร้อนจึงบังเกิดขึ้น

(ต้นฉบับไม่ชัด สรุปใจความได้ว่า นายสมรรถ เอี่ยมวิโรจน์ แสดงความเห็นว่าสาเหตุของการเกิดจลาจลมาจากอะไร  และบอกว่านายเจ๊ะอับดุลลาห์ ก่อนขึ้นเครื่องบินไป ก็ยังได้กล่าวกับตนว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่สู้จะดีนัก รู้สึกวิตกกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างมาก นายสมรรถ ยังกล่าวว่าต้องไปพบมไฮยิดดิน  ถ้าไม่พบก็ไม่ได้ความ คือคงไม่อาจแก้สถานการณ์ได้ เขากล่าวต่อไปอีกว่า การส่งนายเจ๊ะอับดุลลาห์หลังปูเต๊ะไปพบนั้นไม่เหมาะ  เพราะความเห็นของบุคคลทั้ง ๒ ไม่ตรงกัน เช่นมไฮยิดดินต้องการความประนีประนอม แต่นายเจ๊ะอับดุลลาห์มีความเห็นตรงกันข้าม ต้องการไม่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้เป็นต้น)

มันคุกรุ่นมานานแล้ว

นายบรรจง ศรีจรูญ ประธานกรรมการกลางอิสลาม กล่าวว่าไม่อยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับกรณีการจลาจล  เพราะได้พูดมานานแล้ว ว่าไฟมันคุกรุ่นอยู่ ขอให้พิจารณามาหลายรัฐบาลแล้ว ก็ไม่มีรัฐบาลใดหยิบยกมาพิจารณาถึงรากฐานที่แท้จริง มัวเชื่อแต่รายงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองว่าเหตุการณ์สงบไม่มีอะไร

ผมพูดจนถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการยุยง  เมื่อเกิดเรื่องตึงตังขึ้นมาเช่นนี้ ผมก็มีแต่ความเศร้าสลดใจเท่านั้น

ประกันหะยีสุหรง

หะยีสุหรงคนสำคัญฝ่ายอิสลามในบริเวณ ๔ จังหวัด ซึ่งถูกจับฐานขบถห้ามเยี่ยมห้ามประกันที่ปัตตานีนั้น ทางรัฐบาลได้โทรเลขให้ทางจังหวัดพิจารณาให้ประกันตัวแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๖ เดือนนี้

พลโทหลวงกาจฯ หัวหน้าคณะรัฐประหาร ยอมเอาหัวเป็นประกัน เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง.

 

ทางฝ่ายทหารได้แจ้งแก่คนข่าวของสยามนิกรว่า หากเป็นการเหลือกำลังที่ฝ่ายตำรวจจะปราบปราม ทางทหารก็จะได้ส่งกำลังเข้าช่วยเหลือทันที ทั้งนี้ผู้บัญชาการกองพลอิสระที่คอหงษ์หาดใหญ่ มีอำนาจที่จะสั่งการได้โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากรัฐมนตรีกลาโหม และถ้าเหตุการณ์รุนแรงถึงกับต้องใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามแล้ว รัฐบาลอาจประกาศใช้กฎอัยการศึกในเขตที่เกิดจลาจลนั้นก็ได้

 

สยามนิกร ฉบับวันศุกร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๙๑

ปะทะกันสิ้นชีวิตไป ๓๕

ข่าวสุดท้ายว่าฝ่ายจลาจลใช้มีดไม้

จลาจลในนราธิวาสได้สงบลงแล้ว ด้วยการเสียชีวิตไปถึง ๓๕ ชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตของฝ่ายก่อการจลาจล ๓๐ คน และของฝ่ายปราบปรามอีก ๕ คน ภายหลังการยึดหมู่บ้าน ๒ หมู่คือจะแนะกับลุงยอ เป็นป้อมคูต่อสู้เจ้าพนักงานไม่ถึง ๓๐ ชั่วโมงแล้ว พระยาอมรฤทธิ์ธำรง ข้าหลวงตรวจการมหาดไทยภาค ๕ ก็ได้โทรเลขด่วนมายังมหาดไทยว่า ฝ่ายจลาจลได้แตกพ่ายหนีเข้าป่าไผ่จนหมดสิ้นแล้ว

โทรเลขที่รายงานเข้ามาถึงมหาดไทยเป็นลำดับ ปรากฏว่าเหตุการณ์ต่างๆได้เล็กลงทุกที มีรายงานข่าวเปิดเผยว่า วันที่เกิดจลาจลนั้น เหตุการณ์ได้เป็นอย่างรุนแรงมาก อ.ระแงะเป็นอำเภอใหญ่สุดของนราธิวาส ในชั่วโมงที่เกิดเหตุใหญ่ได้เกิดปึงปังไปแทบทุกบ้านของอำเภอ  ในวันที่พระยาอมรฤทธิ์ธำรง รายงานข่าวเข้ามายังมหาดไทย ว่าความสงบได้คลุมทั่วนราธิวาสนั้น ได้บอกเข้ามาด้วยว่า อาวุธฝ่ายจลาจลมีเพียงมีด ไม้และอาวุธปืนยาวเท่านั้น ตรงกันข้ามกับวันที่เกิดเหตุใหญ่ ซึ่งรายงานเข้ามาว่ามีทั้งปืนเสตน คาร์ไบน์และปืนต่อสู้รถถัง ปืนเล็กยาวพระราม ๖ และระเบิดมือเป็นต้น

สยามนิกร ฉบับวันอังคารที่ ๔ พฤษภาคม ๒๔๙๑

จับจลาจลนราธิวาสได้ ๔๐ ส่งทหารไปอีก

ข้าราชการตายจะให้ลูกรับบำนาญแทน

ความไม่สงบในบริเวณ ๗ หัวเมือง ซึ่งได้เริ่มฟักตัวขึ้นเป็นลำดับมา จนกระทั่งเกิดความวุ่นวาย ราษฎรตำบลจะแนะ ในจังหวัดนราธิวาสจับอาวุธขึ้นต่อสู้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ที่ปรากฏข่าวมาเป็นลำดับ

รายงานของพ.. เผ่า ศรียานนท์ ในคณะกรรมการผู้เดินทางไประงับเหตุโดยด่วน ว่าเหตุการณ์ได้สงบลงแล้ว กับได้ขออาวุธไปเพิ่มเติม เพื่อรักษาความสงบต่อไป.

 พ.. เผ่าฯกลับมารายงานนายกรัฐมนตรี ถึงต้นเหตุแห่งความวุ่นวายและข้อคิดเห็นว่า เบื้องแรกราษฎรได้มาประชุมกันเพื่อทำพิธีปลุกเสกลงอาคมของขลังในตำบลจะแนะ ประมาณพันคน พร้อมกันนี้ตามรายงานข่าวอีกด้านหนึ่ง แจ้งว่าได้มีการปลุกใจเพื่อเกิดความฮึกเหิม แล้วลุกฮือขึ้นแข็งสิทธิ์ต่อรัฐบาลไทย  เมื่อทราบถึงคณะกรรมการอำเภอ ปลัดอำเภอพร้อมด้วยตำรวจได้เข้าไปปราบปราม  จึงเกิดการต่อสู้กันเป็นครั้งแรก  ฝ่ายเจ้าหน้าที่แตกพ่ายมา และได้รายงานไปจังหวัด ทางจังหวัดส่งกำลังตำรวจไปปราบปรามอีก ๑๐๐ คนเศษ ราษฎรในหมู่บ้านจะแนะ ได้ตั้งป้อมขึ้นสู้แข็งขันยิงกันอยู่ ๓ ชั่วโมง กำลังเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะหักเข้าไปได้ ข้าหลวงนราธิวาสจึงรายงานขอกำลังด่วนเข้ามากรุงเทพฯ  และในระยะหลังสุดเมื่อคณะกรรมการซึ่งส่งมาจากกรุงเทพฯไปถึงเมื่อฝ่ายปกครองมีท่าทีคึกคัก พร้อมด้วยกำลังพรักพร้อมขึ้น ฝ่ายชาวบ้านก็รามือหยุดยิงลง มีแต่การเคลื่อนไหวครุกรุ่นเป็นการภายในอยู่โดยทั่วๆไป

รายงานข่าวหลังสุดจากนราธิวาส เจ้าหน้าที่ได้จับราษฎรในตำบลเกิดเหตุมาทำการสอบสวนที่จังหวัดราว ๔๐ คน ตัวอาจารย์และหัวหน้าที่เป็นต้นเหตุแห่งความไม่สงบ ยังจับไม่ได้ นัยว่าหนีออกไปนอกเขตประเทศไทยแล้ว

วงการใกล้ชิดว่านายกรัฐมนตรีได้สั่งพ.. เผ่า ศรียานนท์ ให้ละมุนละม่อมที่สุด  รายงานผู้เดินทางมาจากสงขลา นอกจากเสียชีวิตแล้ว ตำรวจยังบาดเจ็บมากกว่า ๓๐ คนอีกด้วย และได้มีการลำเลียงทหารไปยังนราธิวาสก่อนรถด่วนจะมากรุงเทพฯ

 

สยามนิกร ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๙๑

มไฮยิดดินวอนสาวกขอให้เลิกจลาจล
ขอให้ตั้งมั่นสงบ อย่าละเมิดสันติ

สิงคโปร์ได้ทราบข่าวว่าเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ซึ่งเป็นวันเกิดจลาจลในจังหวัดนราธิวาส เจ๊ะมไฮยิดดิน ได้ส่งคำวิงวอนถึงผู้เป็นสาวกของเขาในภาคใต้ของประเทศไทย ดังมีข้อความแปลต่อไปนี้:

ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าสลดเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบข่าวว่ามีชาวมลายูหมู่หนึ่งทำการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่  ไม่ว่าการกระทำเช่นนั้น มิได้เป็นไปตามความปรารถนา หรือโดยการริเริ่มของราอายัต การกระทำเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่าย และไม่เป็นการกระทำที่ชอบด้วยแนวความคิดในปัจจุบันนี้  ถ้าหากจะมีความเดือดร้อนหรือความไม่พอใจอย่างใดเกิดขึ้น  ก็ควรที่จะได้ยื่นเรื่องราวตามแบบแผนของระเบียบ และวิธีการของกฎหมายและโดยสันติวิธี  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอร้องต่อท่านทั้งหลาย ให้งดการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด อันอาจจะนำไปสู่ความไม่สงบและละเมิดต่อสันติภาพในบ้านเมืองอันเป็นที่อยู่ของท่านเอง

                                                                 (สกอ.)

อพยพออกจาก ๔ จังหวัด เกือบถึง ๑ หมื่นแล้ว

รัฐบาลหาทางดึงคนเหล่านั้นกลับ

   ชาวอิสลามอพยพออกไปจากดินแดน ๔ จังหวัดภาคใต้เกือบถึง ๑ หมื่นคนแล้ว ตัวเลขอันน่าสนใจนี้ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ รัฐมนตรีปัจจุบัน ได้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ หลังจากที่ระงับการจลาจลในนราธิวาสแล้ว นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีว่า เป็นการสมควรที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง กล่าวคือจะเลือกเอาในทางที่แผ่นดินไม่มีคนอยู่หรืออย่างไร  ในข้อนี้นายกรัฐมนตรีเลือกเอาทางที่แผ่นดินไม่มีคนอยู่ไม่ได้  รัฐบาลรับจะพิจารณาหาทางแก้ไขเพื่อให้อพยพกลับคืนภูมิลำเนาเดิม

ผู้ที่อพยพไปนี้ ไปกันเป็นรุ่นๆ เพราะมีสมาคมอุปการะที่นั่น  ครูสอนศาสนาและผู้ที่ราษฎรเคารพนับถือ อพยพออกไปราว ๖๗ คน ราษฎรทั่วไปกว่า ๑๕๐๐ คน พวกที่ออกไปก่อนเป็นคราวๆ ซึ่งไปอยู่กันมากที่กลันตัน ไทรบุรี เประ มากที่สุดตำบลกุเรา รวมราว ๖๐๐๐ คน.

 

บทวิเคราะห์

จากรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์สยามนิกรในเวลานั้น ซึ่งให้รายละเอียดของเหตุการณ์และการปฏิบัติการของฝ่ายรัฐบาลอย่างมากสุดนั้น พอจะสรุปตั้งข้อสังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์ “กบฏดุซงญอ” ได้ดังนี้

๑)    ความคลาดเคลื่อนของข้อเท็จจริง

รายงานข่าวการ “ก่อการขบถ” ของชาวบ้านนับพันคน ดังที่เจ้าหน้าที่มหาดไทยท้องถิ่นรายงานเข้ากระทรวงฯนั้นเห็นชัดเจนเลยว่า เป็นการข่าวที่คลาดเคลื่อน จะเรียกว่า “บิดเบือน” ก็อาจหนักไป เพราะหากเกิดการปะทะกันขึ้น กำลังเป็นสิบหรือหลายสิบ ก็น่ากลัวพอที่จะทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรีบประเมินความหนักหน่วงน่ากลัวของสถานการณ์ให้เบื้องบนทราบ 

ต่อเนื่องจากการให้ตัวเลข ขนาด จำนวน ประเภท ของอาวุธที่ชาวบ้านใช้ ซึ่งล้วนเป็นอาวุธหนักและใช้ในการสงคราม เช่น คาร์ไบน์ ปืนต่อสู้รถถัง ปลยบ.๖๖ ระเบิดมือ สเตน เป็นต้น แสดงว่าทางการได้มีสมมติฐานอยู่ในใจก่อนแล้ว ว่าชาวบ้านมุสลิมภาคใต้กำลังคิดกระทำอะไรอยู่  หากไปอ่านความในใจของรัฐมนตรีมหาดไทยสมัยนั้น เช่นพลโท ชิด มั่นศิล สินาดโยธารักษ์ และผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีพระยารัตนภักดี ก็จะไม่แปลกใจว่าทำไม ทางการถึงประเมินและเชื่อว่าชาวบ้านมีอาวุธหนักขนาดทำสงครามไว้ในครอบครอง  เพราะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลมีข่าวกรองอยู่ก่อนแล้ว ประกอบเข้ากับอคติและความไม่ชอบในการเคลื่อนไหวเรียกร้องของกลุ่มมุสลิมหัวก้าวหน้าด้วย  ทำให้หนทางและวิธีการในการคลี่คลายปัญหาและความตึงเครียดขณะนั้นโดยสันติวิธีและ “ละมุนละม่อม” ตามที่จอมพลป. พิบูลสงครามสั่งตามไปในวันหลังๆ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากมากๆ

ถ้าจะฟันธงจากบทเรียนในประวัติศาสตร์ดังกล่าว ก็คือการใช้ความรุนแรงในภาคใต้นั้น เป็นผลโดยตรงจากการมีทัศนคติ อคติ ความเชื่อในอุดมการณ์การเมืองของชาติที่ไม่สอดคล้องกระทั่งขัดแย้งกับความเป็นจริงของสังคมมุสลิมภาคใต้  ทั้งหมดทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ (ทั้งในโครงสร้างและนอกเหนือกฎหมายหลากหลายสารพัด)

๒)  การสร้างทัศนคติที่มองชาวมลายูมุสลิมว่าเป็นคน “ต่างชาติ”

พร้อมๆกับก่อรูปขึ้นของความคิดว่าด้วยชาติไทยและความเป็นไทยที่วางอยู่บนเชื้อชาติและศาสนาอันได้แก่พุทธศาสนาเป็นหลักนั้น  คนชนชาติและเชื้อชาติอื่นๆก็ถูกทำให้กลายเป็น “คนต่างชาติ” หรือคนต่างด้าวไปทันที  ลูกหลานคนจีนที่ไม่มีชื่อนามสกุลแบบไทย ต่างพากันเปลี่ยนและตั้งชื่อและนามสกุลที่เป็นไทยกันจ้าละหวั่น  การยอมถูกทำให้ผสมกลมกลืนแบบนี้ไม่อาจเกิดขึ้นในบริเวณสี่จังหวัดมุสลิมภาคใต้ได้ เพราะในดินแดนนั้นคนเชื้อสายมลายูเป็นคนส่วนใหญ่ เป็นคนเจ้าของที่มานานกว่าคนในภาคกลางและกรุงเทพฯจำนวนมากเสียด้วย  นั่นเองนำไปสู่การปะทะและความรุนแรงในสมัยรัฐนิยมของจอมพลป. พิบูลสงคราม  และเมื่อได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชของคนมลายา ฝ่ายรัฐไทยก็เริ่มสร้างวาทกรรมเรื่อง “การแบ่งแยกดินแดน” ขึ้นมา เพื่อเป็นความชอบธรรมในการจัดการและปราบปรามคนเหล่านั้นในที่สุด

๓)  การสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังต่อผู้นำฝ่ายปรปักษ์

ประเพณีการเมืองสยามโบราณ การขึ้นมามีอำนาจรัฐของกษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ อ้างบุญญาภินิหาร อันนำไปสู่การมีและใช้อำนาจเด็ดขาด  จากนั้นไปก็ต้องใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดในการปกครองและจัดการ โดยเฉพาะในการกำจัดและปราบปรามผู้ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม โดยอ้างว่าจะขึ้นมาแย่งบัลลังก์  การยึดอำนาจโดยคณะปฏิวัติในปี ๒๔๙๐ ก็นำเอาขนบการเมืองโบราณกลับมาใช้อย่างเป็นล่ำเป็นสันอีกวาระหนึ่ง  แต่คราวนี้ ขยายการกำจัดปราบปรามไปยังผู้นำและหัวหน้ากลุ่มการเมืองในภูมิภาค  เพื่อทำให้รัฐบาลมีความชอบธรรมในการปราบด้วยอำนาจเด็ดขาด จำเป็นจะต้องหาหรือทำให้มีหัวหน้าฝ่ายตรงข้ามที่เป็นกบฏให้ได้ก่อน  ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ได้ยินข้อความทำนองนี้จากปากของหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าฝ่ายปราบปรามว่า ความวุ่นวายในภาคใต้นั้นมาจากผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ฉวยโอกาสหาทางถีบตัวขึ้นเป็นใหญ่

ในกรณีกบฏดุซงญอนั้น วาทกรรมไทยถึงปัจจุบันยังระบุว่าตนกูมะไฮยิดดินเป็นหัวหน้าหรือผู้ยุยงให้เกิดความรุนแรงขึ้น  เขาเป็นบุตรคนสุดท้องของตนกูอับดุลกาเดร์ รายาแห่งปัตตานีองค์สุดท้ายก่อนถูกสยามปฏิรูปและจับกุมข้อหากบฏเหมือนกัน  แต่เป็นครั้งแรกที่ผมพบข้อมูลใหม่ใน สยามนิกร(๑๖ พฤษภาคม ๒๔๙๑)  ที่รายงานว่า ตนกูมะไฮยิดดินได้ส่งสารถึงชาวมุสลิมทั้งหลายในภาคใต้ให้ระงับความรุนแรง    เขายืนยันว่า “ถ้าหากจะมีความเดือดร้อนหรือความไม่พอใจอย่างใดเกิดขึ้น  ก็ควรที่จะได้ยื่นเรื่องราวตามแบบแผนของระเบียบ และวิธีการของกฎหมายและโดยสันติวิธี  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอร้องต่อท่านทั้งหลาย ให้งดการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด อันอาจจะนำไปสู่ความไม่สงบและละเมิดต่อสันติภาพในบ้านเมืองอันเป็นที่อยู่ของท่านเอง

หากข้อความในสารดังกล่าวเป็นของมะไฮยิดดินจริง หมายความว่าเขาย่อมไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลังการลุกฮือปะทะกันระหว่างคนมุสลิมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ  จากข้อมูลหลายกระแสในปัจจุบันนี้ ทำให้เราสามารถประเมินได้ว่า กบฏดุซงญอนั้นไม่ใช่เป็นฝีมือและการบงการของใครทั้งสิ้น ไม่ใช่ฮัจญีสุหลงด้วย  หากแต่เป็นการปะทะที่เกิดขึ้นเองในบริบทดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว  จึงเป็นไปได้ว่าในขณะนั้น มะไฮยิดดินและผู้นำมุสลิมอื่นๆ ก็คงงุนงงสงสัยเหมือนกันว่า ใครและอะไรเป็นมูลเหตุของการปะทะกันอย่างราวกับเป็นสงครามกลางเมืองในหมู่บ้านนั้น  เป็นไปได้ไหมว่า คำอธิบายทำนองเดียวกันนี้ อาจนำไปใช้อธิบายกรณี ๒๘ เมษายน ๒๔๕๗ ได้อีกเหมือนกัน  โดยที่รายละเอียดและเชื้อเพลิงของการปะทะกันนั้นอาจต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและการเมืองในภูมิภาค

แต่ที่ยังคงเหมือนกันอยู่คือ ท่าทีและทรรศนะคติไปถึงวิธีการในการจัดการปัญหาของรัฐไทยที่ยังเหมือนเดิม ที่ไม่ยอมให้ปัญหามุสลิมภาคใต้เป็นปัญหา การเมืองเพราะกลัวนัยของการเมืองในบริเวณนั้น แต่ยืนยันทำให้ปัญหาและวิธีการแก้เป็นเพียงเรื่องของ การทหารและความรุนแรงเด็ดขาดแต่ด้านเดียว.



[i] ข้อความข้างบนนี้มาจากคำไว้อาลัยของ พลโท ชิด มั่นศิลป สินาดโยธารักษ์ ใน พระยารัตนภักดี, ดินแดนไทยในแหลมทอง(แหลมมลายู)  (กรุงเทพฯ, งานพระราชทานเพลิงศพพระยารัตนภักดี(แจ้ง สุวรรณจินดา), พ.ศ. ๒๕๑๕, หน้า ๑-๖.

 

[ii] ดูรายละเอียดเบื้องหลังการจับกุมฮัจญีสุหลง ความไม่ลงรอยกันระหว่างฮัจญีสุหลงกับพระยารัตนภักดีที่มีมานานก่อนหน้าแล้ว ใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์  “ความรุนแรงกับการจัดการความจริง…..” บทที่ ๔. และ เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ กบฎ…หรือวีรบุรุษแห่งสี่จังหวัดภาคใต้ (กรุงเทพฯ, ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, ๒๕๔๗).

[iii] เรื่องโจรจีนคอมมิวนิสต์เข้ามาปล้นทำร้ายชาวบ้านฝั่งไทยนั้น เฉินผิง(จีนเป็ง) อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์มลายา ได้เขียนในบันทึกของเขาว่า ในระยะสงครามโลกครั้งที่ ๒ และการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นนั้นมีกลุ่มทหารจีนก๊กมินตั๋งเข้ามาร่วมขบวนกับ พคม.ด้วย แต่พวกนั้นมีพฤติการณ์เป็นโจรและทำร้ายชาวบ้านทั้งสองฝั่ง จึงถูกขับและปราบโดย พคม.เอง ต่อมาก็ยังมีกลุ่มโจรเล็กโจรน้อย ทำความเดือดร้อนอยู่เป็นประจำ  เพราะภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง และการลักลอบค้าข้าวบริเวณชายแดนเป็นธุรกิจที่ทำเงินดีมาก  แสดงว่าโจรจีนที่มาจากฝั่งมลายานั้นมีจริง แต่ไม่จำเป็นว่าเป็นพรรคคอมมิวนิสต์มลายาเสมอไป  ดู Chin Peng, My Side of History as told to Ian Ward and Norma Miraflor (Singapore: Media Masters, 2003), p. 327-8.

 

 

 

 

 

 

[1] บทวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ หน้า ๑๓๒-๑๕๔.

[1] นิธิ เอียวศรีวงศ์ “มองสถานการณ์ภาคใต้ผ่านแว่นกบฏชาวนา” ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๗, หน้า ๑๑๐ - ๑๒๕.

[1] ชัยวัฒน์ สถาอานันท์  “เปิดแผนโจรใต้”28 เมษาปลุกผีกบฏดุซงญอ มติชนรายวัน วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๗.

[1] ความเห็นชาวบ้านจากสมัยโน้น ในเฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร “การต่อต้านนโยบายรัฐบาลในสี่จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย โดยการนำของหะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๙๗“ วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. ๒๕๒๙, หน้า ๓๐-๓๑

[1] สมาชิกคณะราษฎรที่เป็นมุสลิมประกอบไปด้วย นายแช่ม พรหมยงค์ นายบรรจง ศรีจรูญ นายประเสริฐ  ศรีจรูญ นายการิม ศรีจรูญ ดู ศุขปรีดา พนมยงค์ “ชาวไทยมุสลิมในการเปลี่ยนแปลง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕” ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๗. หน้า ๑๐๖-๑๐๙.

[1] ข้อความข้างบนนี้มาจากคำไว้อาลัยของ พลโท ชิด มั่นศิลป สินาดโยธารักษ์ ใน พระยารัตนภักดี, ดินแดนไทยในแหลมทอง(แหลมมลายู)  (กรุงเทพฯ, งานพระราชทานเพลิงศพพระยารัตนภักดี(แจ้ง สุวรรณจินดา), พ.ศ. ๒๕๑๕, หน้า ๑-๖.

 

[1] ดูรายละเอียดเบื้องหลังการจับกุมฮัจญีสุหลง ความไม่ลงรอยกันระหว่างฮัจญีสุหลงกับพระยารัตนภักดีที่มีมานานก่อนหน้าแล้ว ใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์  “ความรุนแรงกับการจัดการความจริง…..” บทที่ ๔. และ เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ กบฎ…หรือวีรบุรุษแห่งสี่จังหวัดภาคใต้ (กรุงเทพฯ, ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, ๒๕๔๗).

[1] เรื่องโจรจีนคอมมิวนิสต์เข้ามาปล้นทำร้ายชาวบ้านฝั่งไทยนั้น เฉินผิง(จีนเป็ง) อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์มลายา ได้เขียนในบันทึกของเขาว่า ในระยะสงครามโลกครั้งที่ ๒ และการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นนั้นมีกลุ่มทหารจีนก๊กมินตั๋งเข้ามาร่วมขบวนกับ พคม.ด้วย แต่พวกนั้นมีพฤติการณ์เป็นโจรและทำร้ายชาวบ้านทั้งสองฝั่ง จึงถูกขับและปราบโดย พคม.เอง ต่อมาก็ยังมีกลุ่มโจรเล็กโจรน้อย ทำความเดือดร้อนอยู่เป็นประจำ  เพราะภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง และการลักลอบค้าข้าวบริเวณชายแดนเป็นธุรกิจที่ทำเงินดีมาก  แสดงว่าโจรจีนที่มาจากฝั่งมลายานั้นมีจริง แต่ไม่จำเป็นว่าเป็นพรรคคอมมิวนิสต์มลายาเสมอไป  ดู Chin Peng, My Side of History as told to Ian Ward and Norma Miraflor (Singapore: Media Masters, 2003), p. 327-8.

 


 

 

 

 


 

 
 



Page 1/1
1
Copyright © 2005 หมู่บ้านดุซงญอ Allrights Reserved.
Powered By www.Freethailand.com