"คุณหลับตาเดินไปบนถนนที่เวียดนาม ใช้มือคลำไป จะเจอแต่ร้านขายมือถือ" ทวี อุดมกิจโชติ กรรมการผู้จัดการไอ-โมบาย อินเตอร์เนชั่นแนล พูดถึงสภาพตลาดเวียดนาม และว่า รองลงมา ที่เห็นเยอะก็คือ ร้านกาแฟ แต่ยังไม่เห็นแบรนด์กาแฟ ข้ามชาติหรือแบรนด์กาแฟไทย
เขา บอกว่า ไอ-โมบาย ไปขายโทรศัพท์มือถือในเวียดนาม เพราะเห็นว่า ศักยภาพไอโมบาย ถึงจุดที่จะต้องขยายตลาด เพื่อความคุ้มทุนในการผลิต และตลาดเวียดนาม ก็เป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก
"ตลาดมือถือเวีรยดนาม รายเล็กๆ อย่างเบิร์ด ของจีน ก็ตายไปแล้วในเวียดนาม เหลือแต่ยักษ์ใหญ่ของโลกที่ยังอยู่ เหตุผลที่เจ้งเพราะว่า เขาไม่มีรุ่นใหม่ไปทำตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ไอ-โมบาย มั่นใจในคุณภาพโปรดักส์และบริการ ของเรามีฟังก์ชั่นที่คุ้มราคา ซึ่งถูกกว่าแบรนด์ใหญ่ จึงตัดสินใจเข้าไป เข้าไปจริงๆเมื่อปลายปี 2548 ถึงต้นปี 2549 ขายผ่านดิสบิวเตอร์"
ตลาดมือถือเวียดนาม มีประมาณ 10 ล้านเลขหมาย จากจำนวนประชากร 84 ล้านคน ดังนั้นตลาดจึงมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก และตลาดอยู่ในช่วงที่บูมมาก ขยายตัวกว่า 20% คนใช้มือถือของเวียดนามไม่ถึง 10% ของประชากร แต่เมืองไทย 30% ไอ-โมบายเป็นตัวเลือกหนึ่งให้เขาเลือก และโชคดีมีพาร์ทเนอร์ชิฟ ช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ ไม่ได้ทุ่มโฆษณา เพราะสู้รายใหญ่ไม่ได้แน่นอน มีเดียที่นั่นแพงกว่าบ้านเมืองไทย จึงทำตลาดโดยการทำกิจกรรม ณ จุดขายเป็นหลัก ใช้วิธีการน้ำซึมบ่อทราย
"คนเวียดนาม ชอบสินค้าไทย อย่างชาร์ป หรือปลากระป๋องสามแม่ครัว เวลามีงานแฟร์สินค้าไทย ถึงกับเข้าแถวซื้อกันเลย ของก็ไม่ถูกนะ แต่เขามั่นใจในสินค้าไทยว่า มีคุณภาพ สามแม่ครัว นี่ใช้ทาขนมปัง เป็นของพรีเมียมไปเลย คนเวียดนามไม่ชอบสินค้าจากจีน เกาหลี ของเราผลิตมาจากไต้หวัน เวลาพิมพ์ ต้องใช้ทำว่า เมด บาย ไอ-โมบาย จึงขายได้ และสินค้าของไอ-โมบาย มีฟังก์ชั่นมากกว่า และราคาถูกกว่า เราให้มาร์จิ้นสูงกว่าด้วย เพื่อดึงดูดคนขาย"
ไอ-โมบาย เริ่มต้นตลาดที่เวียดนาม ในระดับ 1,000 เครื่องต่อเดือน และขยับเป็น 10,000 เครื่องในปัจจุบัน จากยอดขายเรวมเดือนละ 200,000-300,000 เครื่องต่อเดือน มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ไอ-โมบายตั้งเป้าว่า จะขึ้นสู่อัน 3 ของตลาดในเวียดนามในอนาคต
ความสำเร็จของไอ-โมบาย ทำให้ สามารถ คอร์ป มองเห็นศักยภาพของตลาดเวียดนาม จึงไปร่วมทุนกับบริษัทในท้องถิ่น เพื่อผลิคแอพพลิเคชั่นป้อนตลาด ที่ยังไม่มีการโหลดแอพลิเคชั่นผ่านไวร์เลส
ไอ-โมบาย เป้นเพียงตีวอย่างหนึ่งของนักลงทุนไทยที่ประสบความสำเร็จในเวียดนาม!
ก่อนหน้านี้ นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ของ วิกรม กรมดิษฐ์ เป็นนักลงทุนชาวไทยรายแรกๆที่ตัดสินใจไปลงทุนในเวียดนาม เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง จนถึงปัจจุบัน มีนักลงทุนไปใช้บริการในนิคมอมตะแล้ว 40 กว่าราย ได้ขยายพื้นที่จาก 4,000 ไร่ เป็น 8,000 ไร่
สภาพของเวียดนาม เป็นประเทศพัฒนาใหม่ ทุกอย่างต้องการการลงทุนหมด ไม่ว่า จะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค ค่ายปูนของไทย ทั้งปูนอินทรี และปูนซิเมนต์ จึงดาหน้าไปสู่ตลาดที่นั่น ประกอบการค่าแรงถูก และประชากรกว่า 84 ล้านคน โรงงานผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค จึงแห่ไปลงทุนที่นั่น
การลงทุนของไทยในเวียดนามอยู่ในอันดับที่ 12 จากทั้งหมด 77 ประเทศ และเขตเศรษฐกิจ มีโครงการลงทุน 144 โครงการ คิดเป็นมูลค่าทูนจดทะเบียนประมาณ 1,605,34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเดือน ม.ค. 2550 เครือปูนซีเมนต์ไทยได้เข้าลงทุนผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่เมืองบิ่งเยวือง (Binh Duong) ที่อยู่ติดกับนครโฮจิมินห์ทางภาคใต้ ในขณะที่คนเวียดนาม ไม่มาลงทุนในไทยเลย
บริษัทของไทยที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามแล้ว ได้แก่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ผลิตอาหารสัตว์และบรรจุภัณฑ์ , เบทาโกร ผลิตอาหารกุ้ง , เนสท์เล่ ผลิตไมโลและกาแฟ ,แพรนด้า ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ , ซี.เค.ชูส์ ผลิตรองเท้า, สตาร์พริ้นท์ ผลิตหนังสืออ่านสำหรับเด็ก , ไทยนครพัฒนา ผลิตยาและเครื่องดื่ม , ทีโอเอ ผลิตสี , กะรัต ผลิตสุขภัณฑ์, ฮอนด้า , ไทยวา แป้งมันสำปะหลัง , ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ พลาสติก , กระทิงแดง, บริษัท Green Feed จำกัด, บริษัท Neo Agro Business จำกัด, บริษัท K&H Trading and Services จำกัด, บริษัท Pattaya Food จำกัด,บริษัท Hicrete-Vietson จำกัด, ธนาคารกรุงเทพ, บริษัท Urai Phanich จำกัด, บริษัท Thai Corp จำกัด
การลงทุนของไทยส่วนใหญ่อยู่ที่ โฮจิมินห็ ฮานอย ด่องไน บินห์เยืองและบาเรีย-วุ่งเต่า โดยมีนักลงทุนไทยไปลงทุนจัดตั้งเขตอุตสาหกรรม 3 โครงการ คือ Amata Industrial Zone ที่ จังหวัด Dong Nai , Dinh Vu Industrial Zone ที่เมือง Hai Phong และ Thai-Hoa Industrial Park ที่เมือง Long An
ล่าสุด เมื่อเดือนที่แล้ว กลุ่มธุรกิจไทยคณะใหญ่ ประกอบด้วยกลุ่มการเงิน การธนาคารและประกันภัย กลุ่มผลิตภัณฑ์กระดาษ พัฒนาพลังงาน ชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมสี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พัฒนาสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจส่งออก-นำเข้า การขนส่งและการจัดการสินค้า สายการบินต้นทุนต่ำ ผู้แทนจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เดินทางไปศึกษาการลงทุนในเวียดนาม คาดว่า หลังจากนี้ นักลงทุนไทย จะเดินทางไปตลาดใหม่แห่งนี้เพิ่มขึ้น
ขณะที่ มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเวียดนามมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลเวียดนามมาโดยตลอด สำหรับของปี 2548 ไทยส่งออกไปเวียดนามมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 94,984.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.0 จากปีก่อน ขณะที่มีมูลค่าการนำเข้า 35,954.7 ล้านบาท
ในปี 2549 (มกราคม-พฤษภาคม) มีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 58,276.7 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการส่งออกเป็นจำนวน 43,465.3 ล้านบาท และ คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าเป็นจำนวน 12,026.3 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2548 ในช่วงเวลาเดียวกัน ร้อยละ 31.2
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า จะมีข้อดีหลายประการ ในการเดินทางไปลงทุนในเวียดนาม แต่ก็มีข้อวิตกกังวลให้นักลงทุนที่ต้องการไปลงทุนในเวียดนามได้ระมัดระวังเหมือนกัน
"มีนักลงทุนไทย ไปแต่งงานกับสาวเวียดนาม เพื่อที่จะใช้เป็นโอกาสในการทำการค้า การลงทุนที่นั่น ก็เหมือนที่ฝรั่งมาแต่งงานกับสาวไทย เพื่อใช้เป็นโอกาสในการลงทุนนั่นหละ ก็แต่งงานถูกต้องทุกอย่าง ปรากฎว่า กลับเมืองไทย มาไม่กี่วัน กลับไป ห้องแถวที่เคยทำการค้าว่างงเปล่าเสียแล้ว" ทวี อุดมกิจโชติ กรรมการผู้จัดการ ไอ-โมบาย อินเตอร์เนชั่นแนล บอกเล่าถึงประสบการณ์การลงทุนของนักลงทุนไทยบางคนที่นั่น
เครือสามารถคอร์ป ซึ่งทำธุรกิจจานดาวเทียม และธุรกิจโทรคมนาคม 1900 ได้เดินทางไปขายดาวเทียมที่เวียดนาม เมื่อปี 1992 แต่ไม่นานสินค้าของสามารถวางขายเกลื่อนในตลาด
"เขาก็อปเก่งมาก เรานำจานดาวเทียมเข้าไป แค่ไม่กี่วัน จานดาวเทียมเต็มตลาดแล้ว แต่เขานำไปดัดแปลง ตอนนั้น เวียดนามยังไม่เปิดประเทศเท่าไหร่ เราเลยยังไม่ตัดสินใจไปลงทุน อีกครั้งหนึ่ง เราไปคุยกับบริษัทโทรคมนาคมของเวียดนาม เพื่อทำธุรกิจ 1900 เขาไม่ทำกับ แต่ไม่นาน เขาก็ไปทำของเขาเอง เปิด 199 ในช่วงฟุตบอลโลก เขาเรียนรู้เร็วมาก" ทวี บอกเล่า ถึงประสบการณ์การลงทุนในเวียดนาม