นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ในงบประมาณปีหน้า กรมสรรพากรได้วางแผนที่จะให้ร้านค้าทั่วไปไม่ว่ารายเล็กหรือรายใหญ่ ต้องติดตั้งเครื่องเก็บเงินสด หรือ cash register เพื่ออุดช่องโหว่ ของธุรกิจที่มีรายได้เป็นเงินสด ที่มักจะลงบัญชีไม่ถูกต้องเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเรื่องนี้ กรมสรรพากรจะหารือกับกระทรวงการคลัง และขอให้รัฐบาลสมัยหน้าเพิ่มอำนาจให้กับกรมสรรพากรในการสั่งปิดกิจการร้านค้าได้อย่างน้อย 3 วัน เพื่อเป็นการลงโทษในทางปฏิบัติ
แนวคิดเรื่องการตรวจสอบรายได้ที่แท้จริงจากเครื่องเก็บเงินสดนั้น เป็นไอเดียเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ผลการศึกษาต้องหยุดชะงัก เพราะในช่วงนั้น กรมสรรพากรกำลังมุ่งเน้นงานด้านคอมพิวเตอร์เป็นหลัก แต่ในเมื่อทุกอย่างลงตัวมากขึ้นแล้ว ก็พร้อมที่นำแนวคิดนี้กลับมาใช้อีกครั้ง
นายศานิตกล่าวว่า ปัจจุบันร้านค้าทั่วไปเช่น ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าต่างก็นิยมที่จะใช้เครื่องเก็บเงินสดออกเป็นใบเสร็จย่อยให้แก่ลูกค้า แต่ในบางครั้งใบเสร็จย่อยพวกนี้ ไม่ได้นำมาใช้เป็นหลักฐานในการเสียภาษีกับกรมสรรพากร เนื่องจากผู้ประกอบการอ้างว่าลืม หรือบางครั้งเกิดจากการลงบัญชีไม่ถูกต้องทำให้เกิดช่องโหว่ในการเสียภาษี
ดังนั้น หากมีการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษทาง อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เครื่องเก็บเงินสดสามารถออนไลน์เข้ามาที่กรมสรรพากร หรือการเพิ่มความนิยมการใช้บัตรเดบิตและบัตรเครดิตในการชำระเงินกันมากขึ้นเหมือนในต่างประเทศ ก็จะสามารถป้องกันหรืออุดช่องโหว่การเสียภาษีได้มากขึ้น เนื่องจากผู้ซื้อ ผู้ขาย และสถาบันการเงินที่ให้บริการ จะตรวจสอบความถูกต้องกันเอง ซึ่งประเด็นนี้จะทำให้กรมสรรพากรได้ประโยชน์จากข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเก็บภาษีต่อไป
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังมีแนวคิดที่จะตั้งสำนักดูแลผู้เสียภาษีรายย่อยขึ้นมาเป็นหน่วยงานใหม่ หลังจากพบว่าผู้เสียภาษีรายย่อยมีปัญหาในเรื่องการลงบัญชี และมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องจากคำแนะนำที่ผิดๆของสำนักงานบัญชี สำหรับสำนักดูแลผู้เสียภาษีรายย่อยจะมีหน้าที่ในการแนะนำในการเสียภาษี รวมถึงช่องทางใหม่ๆที่จะช่วยให้ผู้เสียภาษีรายย่อยเสียภาษีได้ง่ายขึ้น
ส่วนกรณีที่สำนักงานบัญชีให้คำแนะนำแก่ผู้เสียภาษีไม่ถูกต้องนั้น ล่าสุดได้ตรวจพบสำนักงานบัญชีแอบนำใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มของลูกค้าไปขายให้กับบริษัทห้องแถวที่ไม่มีตัวตนแล้วนำมาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร สามารถจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ต้องหาไปแล้ว 3 กลุ่มที่เชื่อมโยงกัน และสร้างความเสียหายแก่ระบบภาษีเป็นมูลค่า 1,396.88 ล้านบาท และติดตามมาได้ 292 ล้านบาท.
|