'กรณ์'ดัน ก.ม.ฝ่ามรสุมการเมือง
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมาย ดังนั้นการหยิบยกประเด็นเรื่องมาตรการภาษี เพื่อมารีดรายได้เพิ่มจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะที่ผ่านมาทุกรัฐบาลก็ดำเนินการเช่นนี้มาโดยตลอด โดยเฉพาะ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ยกร่างกฎหมายมาหลายครั้งหลายครา แต่ไม่เคยสามารถฝ่าด่านมรสุมทางการเมืองได้สำเร็จ จนมาถึงวันนี้ วันที่ขุนคลังคนปัจจุบัน กรณ์ จาติกวณิช ได้บัญชาการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) นำขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง
ส่วนความคืบหน้าจะมีมากน้อยเพียงใด เดลินิวส์ ขอถ่ายทอดจากผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง อย่าง สมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สศค. เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป
ถาม:ความคืบหน้าของการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ
ตอบ:สศค. อยู่ระหว่างจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความ คิดเห็นจากประชาชนในทุกพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการแล้วในหลายพื้นที่ ทั้ง สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่ ขอนแก่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ และในสัปดาห์หน้าจะไปจัดประชาพิจารณ์ที่ชลบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ รมว.คลัง ขอความเห็นจาก ครม. ภายในเดือน ส.ค. ก่อนเสนอให้ที่สภาลงความเห็นได้ภายในเดือน ต.ค.-พ.ย.นี้ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 53 ปัจจุบันได้ส่งร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ในภาพรวมให้นายกรณ์ แล้ว รอเพียงแค่การตัดสินใจเท่านั้น ระหว่างนี้ สศค. จะนำข้อมูลที่ได้รับมาปรับปรุงร่างกฎหมายต่อไป
ถาม:ประชาชนยังกังวลหรือเห็นด้วยอย่างไร
ตอบ:การจัดประชาพิจารณ์แต่ละครั้ง ได้รับการตอบรับจากประชาชนดีมาก และยังเข้าใจถึงการสนับสนุนให้ภาษีที่ดินฯ เกิดขึ้น และคำถามยอดฮิตที่ได้รับ คือ ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นหรือไม่ และต้องทำอย่างไรเพื่อบริหารจัดการที่ดินของตนเอง ผู้ที่มีที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะเสียภาษีมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ รัฐจะเริ่มเก็บภาษีเมื่อใด และอัตราเท่าใด พ.ร.ก.ภาษีที่ดินฯ นั้น ดีจริงหรือไม่ เป็นต้น
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของ สศค. ที่ต้องอธิบายถึงข้อดีและข้อเสียของ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ให้ประชาชนรับทราบว่า ปัจจุบันนี้ประชาชนทั่วประเทศกว่า 90% ถือครองที่ดินโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ไร่ ขณะที่ประชาชนเพียง 10% เท่านั้น ที่ถือครองที่ดินมากกว่า 100 ไร่ขึ้นไป ซึ่งนี่คือความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้น เป็นตัวชี้ให้เห็นว่าการถือครองที่ดินในประเทศไทยยังลักลั่นอยู่ และรัฐบาลไม่มีกลไกใด ๆ ที่จะแก้ปัญหานี้ อีกทั้งในสัดส่วน 10% นี้ มีถึง 75% ที่ถือครองที่ดินโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์แต่อย่างใด เป็นเพียงการซื้อที่ดินเปล่าทิ้งไว้เพื่อเก็งกำไร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่มีระบบภาษีมาดูแลการกระจายการถือครองที่ดิน เพื่อส่งเสริมให้ใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะมาจากการจัดเก็บเองประมาณ 10% หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท เท่านั้น โดยมาจากภาษีโรงเรือนและที่ดิน กับภาษีบำรุงท้องที่ ส่วนที่เหลืออีก 90% มาจากการจัดสรรเงินรายได้จากรัฐบาลกลาง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น นิวซีแลนด์ อปท. ของเขาสามารถจัดเก็บรายได้เองได้ถึง 90% หรือที่มาเลเซีย จัดเก็บรายได้เอง 85% ขณะที่ อปท. ของไทย จัดเก็บรายได้เองได้น้อยมาก แสดงให้เห็นว่าต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้นที่ทำให้ประชาชนไม่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง ขณะที่ท้องถิ่นก็ไม่มีอิสระในการบริหารจัดการตนเองให้เข้มแข็ง
ถาม:ข้อดี ข้อเสียของภาษีที่ดินฯ เป็นอย่างไรบ้าง
ตอบ:ภาษีที่ อปท. จัดเก็บเองมีเพียง 2 รายการคือ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งมีข้อบกพร่องมาก และต้องยกเลิกไปเมื่อมี พ.ร.บ.ภาษีที่ดินมาใช้แทน โดยภาษีโรงเรือนฯ มีข้อเสียคือ ข้อแรกฐานภาษีนั้นจะคิดจากค่าเช่า ดังนั้นจึงไม่ใช่ภาษีทรัพย์สินที่แท้จริง เพราะไม่ทราบถึงมูลค่าทรัพย์สินนั้น ๆ เช่น นาย ก มีบ้าน 2 หลัง หลังแรกอยู่เองไม่ต้องเสียภาษี แต่หลังที่ 2 ปล่อยให้เช่า ก็ไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน เพราะนาย ก ผลักภาระให้ผู้เช่า เท่ากับว่าคนจนต้องจ่ายมากกว่าคนรวยอยู่ดี ถัดมาอัตราภาษีที่สูงถึง 12.5% และมีช่องโหว่ทางกฎหมาย เช่น นาย ข ใช้บ้านที่อยู่อาศัยเปิดเป็นร้านโชห่วยด้วย ถามว่าต้องเสียภาษีที่ดินหรือไม่ คำตอบก็คือ เสีย โดยในส่วนของที่อยู่อาศัยเองไม่เสีย แต่ส่วนที่เป็นร้านโชห่วย ต้องเสีย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมาประเมินราคาให้ หากรู้จักกับนาย ข อาจประเมินราคาภาษีให้ต่ำ หากไม่รู้จักอาจประเมินราคาสูง
ส่วนภาษีบำรุงท้องที่นั้น นับได้ว่าใกล้จะเป็นกฎหมายภาษีที่ดินที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่าฐานภาษีที่ใช้ประเมินราคาที่ดินนั้น ใช้มาตั้งแต่ปี 2524 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง อีกทั้งที่ดินราคาแพงกลับเสียภาษีถูก แต่ที่ดินราคาถูกกลับต้องเสียภาษีแพง ซึ่งไม่ทราบว่าใครคิดกฎหมายตัวนี้ออกมา คือมูลค่าที่ดินราคาตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป เสียภาษีเพียง 0.25% แต่ราคาต่ำกว่า 30,000 บาท ลงมา เสียภาษีถึง 0.5% โดยไม่มีข้อยกเว้น
ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ แต่ถ้ามีที่ดินไม่ถึง 50 ตารางเมตร ในกรุงเทพฯ และไม่เกิน 5 ไร่ ในต่างจังหวัด ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี เท่ากับว่าได้รับการยกเว้น
ดังนั้น การมีภาษีที่ดินฉบับใหม่ต้องดีกว่าฉบับเดิม และต้องมีแนวทางที่ถูกต้องคือ ภาษีที่ดินต้องมาจากการใช้ราคาที่ดินที่ประเมินในปัจจุบัน และราคาสิ่งปลูกสร้างในปัจจุบัน เพราะชัดเจนและยุติธรรมที่สุด ล่าสุดกรมธนารักษ์กำลังจัดทำราคาประเมินที่ดิน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงทุก 4 ปี โดยไทยมีที่ดินทั้งประเทศ 30 ล้านแปลง ประเมินไปแล้ว 5 ล้านแปลง ยังเหลืออีก 25 ล้านแปลง ที่ต้องเร่งประเมินให้แล้วเสร็จก่อนปี 2555 ส่วนกรมที่ดินต้องจัดทำแผนที่ดิจิทัลพร้อมราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างรายแปลงทั่วประเทศภายในปีนี้
เท่ากับว่าภาษีที่ดินฉบับใหม่นี้ ทุกคนจะเสียภาษีที่ดินเหมือนกันหมด โดยมีฐานภาษีที่มีอัตราต่างกันไปตามขนาดและมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ขณะที่อัตราภาษีจะกำหนดเพดานไว้ตามการใช้ที่ดิน คือ ในเชิงพาณิชย์กำหนดเพดานไว้ที่ 0.5% ของมูลค่า โดยจะมีคณะกรรมการกลางที่พิจารณาจัดเก็บอัตราภาษีที่ชัดเจน และจะปรับทุก ๆ 4 ปี เช่น เชิงพาณิชย์อาจคิด 0.2% ส่วนที่อยู่อาศัยเองอาจคิดน้อยกว่า 0.1% ส่วนที่ดินทำการเกษตรกรรม อาจกำหนดเพดานน้อยกว่า 0.05% แต่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า จะกำหนดอัตราสูงที่สุด และสูงกว่าอัตราเชิงพาณิชย์ด้วย เช่น หากกำหนดอัตราภาษีในเชิงพาณิชย์ไว้ที่ 0.4% จะต้องเก็บที่ดินเปล่า 0.45-0.5% เป็นต้น และหากยังคงปล่อยที่รกร้างว่างเปล่าทิ้งไว้อีก 3 ปี ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว แต่จะไม่เกิน 2% ของมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ส่วนข้อดีที่ยังคงอยู่คือ อปท. จะเป็นผู้จัดเก็บภาษีที่ดินเองโดยไม่ต้องส่งเข้างบประมาณส่วนกลาง และบริหารจัดการเงินดังกล่าวเพื่อใช้พัฒนาพื้นที่ของตนเองได้ทันที ซึ่งทำให้มีความสามารถจัดเก็บจากปัจจุบันที่ 10% เพิ่มเป็น 70-80% ได้ โดยอย่างน้อยที่สุดจะเก็บภาษีเพิ่มจาก 20,000 ล้านบาท เป็น 40,000 ล้านบาท ขึ้นไปในช่วง 2 ปีแรก และหากเก็บเต็มเพดานจะได้กว่า 90,000 ล้านบาท ทีเดียว
ถาม:กฎหมายภาษีที่ดินฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อใด
ตอบ:กระทรวงการคลังวางกำหนดการไว้ว่ากฎหมายภาษี ที่ดินจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 53 เป็นต้นไป แต่กำหนดช่วงเวลาให้ประชาชนปรับตัวก่อน 2 ปีแรก เท่ากับว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2555 เป็นต้นไป แต่ 3 ปีแรกที่เริ่มบังคับใช้นั้น จะให้อปท.ทุกแห่งใช้กฎหมายแบบขั้นบันได คือ ในปีแรกจะเก็บภาษีเพียง 50% ปีที่ 2 จัดเก็บเพิ่มเป็น 75% และปีที่ 3 เป็นต้นไป จึงจะเก็บภาษีเต็ม 100% เท่ากับว่าใช้เวลานานถึง 5 ปี อปท. ถึงจะได้เงินจากภาษีที่ดินแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ส่วนคนจนจะไม่เก็บภาษี ด้วยการกำหนดเกณฑ์ว่าต้องมีที่ดินถือครองเท่าใด จึงไม่ต้องเสียภาษี แต่ขณะนี้ยังไม่สรุปตัวเลข แต่ผู้สูงอายุหรือคนชราไม่ยกเว้นให้ เพราะเกรงว่าอาจมีช่องโหว่ทางกฎหมาย ที่ลูกหลานจะให้เป็นชื่อของผู้สูงอายุแทน เพื่อเลี่ยงไม่จ่ายภาษี ขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมนั้นจะคิดอีกอัตราหนึ่ง และหากมีมูลค่าไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี จึงแสดงให้เห็นว่า กฎหมายภาษีที่ดินนี้ หากมีผลบังคับใช้แล้วจะมีผลทำให้ทุกคนให้ความสำคัญกับท้องถิ่นของตัวเอง เพราะเงินที่เก็บไป อปท. ต้องบริหารจัดการเอง ขณะเดียวกันผู้ที่มีที่ดินว่างเปล่าที่ซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไร ต้องกลับไปคิดใหม่ เพราะหากเก็บไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ถึง 80% จะต้องเสียภาษีแพงมาก ช่วยลดปัญหาการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ลงได้พอสมควร
ต้องจับตาดูว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะฝ่าด่านการเมืองครั้งสำคัญนี้ จนสามารถผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้ลุล่วง มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายได้มากน้อยเพียงใด และจากนี้ไปใครที่มีที่ดินจำนวนมาก และไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว คงต้องคิดให้หนักว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่จะถือครองไว้.