หมายเหตุ : บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลวิจัย "มาตรการการคลังเพื่อความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม : การวิเคราะห์ภาระภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม และการขยายฐานภาษี" ในการสัมมนาวิชาการประจำปี 2552 เรื่อง"การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อความเป็นธรรมในสังคม" จัดขึ้นโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2552 ณ เซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์
1. ภาษีทางตรงและการกระจายภาระภาษีทางตรง
ภาษีทางตรงมีบทบาทสูงในการกระจายรายได้ในสังคม ทว่า ที่ผ่านมาได้มีกระแสความคิดที่ว่ารัฐ ไม่ได้ใช้ภาษีทางตรงในการกระจายรายได้มากเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งสืบเนื่องจากมาตรการทางภาษีที่ค่อนข้าง จะเอื้อประโยชน์แก่ผู้มีรายได้สูงให้สามารถขอลดหย่อนภาษีได้มาก จึงทำให้ผู้มีรายได้สูงมีช่องทางในการลดภาระภาษีมากกว่าผู้มีรายได้ต่ำ ในทางกลับกัน ระบบภาษีในปัจจุบันถูกมองว่าไม่ได้รวบรวมคนที่มีรายได้ทั้งหมดเข้ามาสู่ระบบภาษี เช่นผู้ใช้แรงงานนอกระบบที่มีรายได้น้อยอาจเลี่ยงที่จะไม่ยื่นแบบชำระ ภาษี ดังนั้นจึงมีเพียงผู้มีรายได้ระดับกลางขึ้นไปเท่านั้นที่ทำหน้าที่เสียภาษี ระบบภาษีนี้อาจถูกมองได้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือความไม่เท่าเทียมกันในการชำระภาษีระหว่างคนรวย และคนมีรายได้น้อย
1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ก่อนพิจารณาเรื่องความแตกต่างในการชำระภาษี ผู้วิจัยลองศึกษาโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งระบบก่อน ซึ่งผู้วิจัยสามารถสรุปประเด็นที่สำคัญได้ 3 ประเด็น ดังนี้ 1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีผู้เสียภาษีน้อย 2. การขอลดหย่อนภาษีมีมาก และ 3. อัตราภาษีที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ
ประการแรก จำนวนผู้มีงานทำที่เข้าสู่ระบบภาษีมีจำนวนไม่มากนัก ข้อมูลจากกรมสรรพากรพบว่าจำนวนผู้เสียภาษีมีประมาณ 8-9 ล้านคน จากจำนวนผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานกว่า 38 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 25 หรือหากพิจารณาเฉพาะกำลังแรงงานนอกภาคการเกษตรที่มีมากกว่า 22 ล้านคน พบว่า จำนวนผู้เสียภาษีมีเพียงร้อยละ 40 สาเหตุที่มีจำนวนผู้เสียภาษีน้อยคือ ผู้ใช้แรงงานและผู้มีรายได้นอกระบบจำนวน
มากที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษี
1.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ภาษีที่รัฐจัดเก็บจากผู้ประกอบการ เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามบัญญัติของกฎหมาย โดยทั่วไปการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจะจัดเก็บจากกำไรสุทธิ ประเด็นด้านการกระจายภาระภาษีนั้น จำแนกได้ดังนี้ ประการแรก สัดส่วนภาษีนิติบุคคลต่อรายได้ทั้งหมดอยู่ในระดับต่ำมาก คือประมาณร้อยละ 1 เท่านั้นในช่วงปี 2547-2551
ประการที่สอง บริษัทขนาดเล็กชำระภาษีเป็นสัดส่วนต่อรายได้มากกว่าที่บริษัทขนาดใหญ่ชำระเช่น บริษัทขนาดเล็กชำระภาษี ประมาณร้อยละ 3 ของรายได้ ในขณะที่ บริษัทขนาดใหญ่ชำระภาษี เพียงประมาณร้อยละ 1-1.5 ของรายได้เท่านั้น
ประการที่สาม บริษัทขนาดใหญ่สามารถขอลดหย่อน หรือได้รับการยกเว้นภาษีเทียบเป็นสัดส่วนต่อรายได้ มากกว่าบริษัทขนาดเล็ก เช่น บริษัทขนาดเล็ก ขอลดหย่อนภาษี ต่ำกว่าร้อยละ 0.5-1 ของรายได้ในขณะที่ บริษัทขนาดใหญ่ขอลดหย่อนภาษี ได้มากกว่า ร้อยละ 1-1.5 ของรายได้
1.3 ข้อเสนอแนะ
ควรมีการขยายความครอบคลุมบุคคลธรรมดาผู้มีรายได้ทุกคนให้เข้าสู่ระบบจัดเก็บภาษี ทั้งนี้ควรจะดำเนินการให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระภาษี
แม้ว่ามาตรการค่าลดหย่อนต่างๆจะมีส่วนช่วยจูงใจให้เกิดการลงทุนและการออม แต่อาจทำให้รัฐสูญเสียรายได้และไม่สามารถกระจายความเท่าเทียมกันในเรื่องการจัดเก็บภาษีในสังคมได้ ดังนั้นจึงควรพิจารณามาตรการค่าลดหย่อนใหม่ว่าค่าลดหย่อนบางประเภทเอื้อประโยชน์ให้กับ
บุคคลผู้มีรายได้สูงมากเกินไปหรือไม่
บริษัทที่มีขนาดเล็กจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงกว่าบริษัทขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับรายได้ที่ได้รับ โดยอาจมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากภาระค่าใช้จ่ายบางประเภทที่บริษัทขนาดใหญ่สามารถนำไปหักค่าลดหย่อนได้มากกว่าที่บริษัทที่มีขนาดเล็กสามารถทำได้ ดังนั้น ควรมีการปรับปรุงมาตรการ
การอนุญาตลดหย่อนค่าใช้จ่ายให้มีความเท่าเทียมกัน
นอกจากค่าลดหย่อนทางภาษีแล้ว บริษัทขนาดใหญ่ยังได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีมากมายจาก BOI ซึ่งทำให้บริษัทเหล่านั้นแม้มีรายได้และผลกำไรเป็นอันมาก แต่สามารถชำระภาษีในอัตราที่ต่ำเป็นผลให้รัฐเสียรายได้เป็นอันมาก
2. ภาษีทางอ้อม: การกระจายภาระภาษีทางตรงและปัญหาของระบบภาษี
รายได้ภาษีทางอ้อมเก็บจากฐานการบริโภคสินค้าและบริการ ยังคงเป็นแหล่งรายได้ภาษีอากรที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา รายได้ภาษีทางอ้อมที่ว่านี้มีภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีสรรพสามิตเป็นองค์ประกอบหลัก โดยรวมรัฐสามารถจัดเก็บภาษีทางอ้อมได้มาก คิดเป็นอัตราการจัดเก็บภาษีทางอ้อมต่อภาษีทางตรงโดยเฉลี่ยประมาณ 63 ต่อ 37 แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการขยายตัวของรายได้ภาษีทางตรงแล้ว ภาษีทางอ้อมโดยรวมมีอัตราการเติบโตชะลอตัวลงมาก จึงทำให้สัดส่วนภาษีทางอ้อมต่อมูลค่าภาษีทั้งหมดลดลงมากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าภาษีทางอ้อมลดลงมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐเก็บภาษีศุลกากรได้น้อยลงมากในระยะหลัง ดังจะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตของรายได้ภาษีศุลกากรในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาติดลบประมาณร้อยละ 7.8 ต่อปี
เนื้อหาในส่วนของภาษีทางอ้อมนี้ครอบคลุม 3 ประเด็นสำคัญ คือ (ก) ลักษณะสำคัญของโครงสร้างภาษีทางอ้อมซึ่งครอบคลุมสามประเภทหลัก ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากร (ข) การกระจายภาระภาษีในภาคครัวเรือน โดยใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นกรณีศึกษา (ค) ปัญหาของระบบภาษีทั้งสามข้างต้น
2.1 ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่รัฐใช้จัดเก็บนั้นเป็นภาษีที่มุ่งเน้นจัดเก็บจากฐานการบริโภค โดยมีหลักการของการจัดเก็บจากผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งขายสินค้าหรือให้บริการ โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นของสินค้าหรือบริการในทุกขั้นตอนของการขายสินค้าหรือการให้บริการเฉพาะส่วนที่ยังไม่ผ่านการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน แต่ผู้บริโภคคนสุดท้ายจะเป็นผู้รับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยได้ถูกนำมาใช้แทนระบบภาษีการค้าเดิมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ซึ่งเดิมทีกฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 แต่ก็ได้ถูกปรับลดลงเหลือร้อยละ 7 และยังมิได้ปรับขึ้นแต่อย่างใด
2.2 ภาษีศุลกากร
บทบาทของภาษีศุลกากรในช่วงที่ผ่านมาเริ่มลดลงซึ่งมีผลสืบเนื่องจากการปฏิรูปโครงสร้างภาษีศุลกากรหลายครั้งที่ผ่านมากอปรกับประเทศไทยได้ทำข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้ากับหลายประเทศ จึงทำให้อัตราภาษีโดยเฉลี่ยลดลงมาก หากแบ่งกลุ่มผู้นำเข้าสินค้าออกเป็น 10 กลุ่มโดยใช้ข้อมูลมูลค่าการนำเข้าพบว่า อัตราภาษีนำเข้าที่เก็บได้จริงค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้นำเข้าที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุดที่เสียภาษีนำเข้าจริงในอัตราเพียงร้อยละ 2-4 เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มผู้นำเข้าที่มีมูลค่านำเข้าต่ำสุดเสียภาษีนำเข้าจริงในอัตราสูงถึงร้อยละ 8-10 การที่ฐานภาษีมากขึ้นแต่สามารถเก็บภาษีได้น้อยลงนั้นทำให้รายได้ของรัฐในส่วนนี้ลดลงตามลงไปด้วย
2.3 ภาษีสรรพสามิต
ในปัจจุบันโครงสร้างภาษีสรรพสามิตมีลักษณะบางประการที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกลุ่มผู้ประกอบการ กล่าวคือ ผู้ประกอบการบางรายได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่นๆ เพราะเสียภาษีน้อยกว่า ผลที่ตามมาคือ ผู้ประกอบการต่างพากันปรับตัวเพื่อลดภาษี เช่น การหนีภาษี การปรับโครงสร้างการผลิตและการวิ่งเต้นเพื่อให้เสียภาษีน้อยลง นอกจากนั้นผู้ประกอบการที่ได้ประโยชน์จากภาษี อาจวิ่งเต้นและมีส่วนเกี่ยวข้องทางตรงหรือทางอ้อมกับนักการเมืองความเหลื่อมล้ำดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้รัฐสูญเสียเงินภาษีที่ควรได้รับ หากพิจารณาแหล่งรายได้ที่สำคัญของภาษีสรรพสามิต พบว่า ส่วนใหญรัฐจัดเก็บภาษีสรรพสามิตได้มากจากสินค้าที่มีแอลกอฮอล์ซึ่งได้แก่ สุราและเบียร์ รองลงมาคือ น้ำมัน รถยนต์ และยาสูบ ภาษีสรรพสามิตเป็นภาษีที่ควบคุมการบริโภค เดิมทีวัตถุประสงค์ของการจัดเก็บ คือ เพื่อหารายได้ให้รัฐเพราะจัดเก็บง่าย แต่หลังจากพัฒนาการของระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีนิติบุคคล วัตถุประสงค์สมัยใหม่ของภาษีสรรพสามิต คือ การเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาสังคม เช่น ภาษีสิ่งแวดล้อม ภาษีบางเพื่อจำกัดการบริโภคบุหรี่และเหล้า ภาษีเพื่อแก้ปัญหาการควบคุมตนเอง เช่น การบริโภคน้ำตาลและไขมันเกินขนาดจนเกิดปัญหาโรคอ้วน ฯลฯ อย่างไรก็ดี การศึกษานี้รวบรวมปัญหาของโครงสร้างภาษีสรรพสามิตจากงานวิจัยในอดีตโดยใช้สินค้าจำพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้นเป็นประเด็นวิเคราะห์
ปัญหาสำคัญของโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ก่อปัญหาให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษี และสร้างความไม่เท่าเทียมกันในการแข่งขันทางธุรกิจ มี 3 ประการ ประการที่หนึ่ง การกำหนดฐานภาษีต่างกันสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน สินค้าที่อยู่ในข่ายนี้ได้แก่ เบียร์ วิสกี้นำเข้า รถยนต์ที่ผลิตในเขตปลอดอากร และน้ำอัดลมสี การที่สินค้าชนิดเดียวกันมีฐานภาษีต่างกัน ทำให้สินค้าที่ถูกกำหนดให้เป็นสินค้าเกรดต่ำมีฐานภาษีต่ำกว่าสินค้าเกรดสูง จึงเสียภาษีสรรพสามิตน้อยกว่า ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษี
ประการที่สอง กรมสรรพสามิตกำหนดให้สุราบางประเภทเป็นสุราต่างชนิดกัน ทั้งๆที่ลักษณะการบริโภคและชนิดของแอลกอฮอล์คล้ายกัน แต่เรียกเก็บภาษีในอัตราที่แตกต่างกัน ผลที่ตามมาคือ ทำให้ผู้ประกอบการบางรายแข่งขันได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่นๆที่เสียภาษีมากกว่า เพราะการที่ฐานภาษีและอัตราภาษีของสินค้าชนิดเดียวกันมีอัตราแตกต่างกัน ซึ่งผลบิดเบือนพฤติกรรมของผู้ผลิตและผู้บริโภคได้ เช่น ผู้ประกอบการใช้กลยุทธ์นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เสียภาษีน้อยกว่า และยังทำให้ผู้บริโภคบางส่วนเปลี่ยนจากการบริโภคสุราราคาแพงมาบริโภคสุราราคาถูกแทน ซึ่งทำให้รัฐเกิดรายได้จากภาษีสุราในอัตราเติบโตที่ช้าลงแม้ว่าจะมีการบริโภคสุราราคาถูกเพิ่มขึ้นก็ตาม นอกจากนั้น การกำหนดฐานภาษียังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาการครอบงำหน่วยงานกำกับดูและ (regulatory capture) และความประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่
2.4 ข้อเสนอแนะ
ควรปรับการดำเนินนโยบายบางด้าน ได้แก่
- ทบทวนการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ BOI ว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร เพราะนอกจากไปลดรายได้ภาษีอากรของรัฐ ยังก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม (ผู้ประกอบการบางรายได้ประโยชน์ ในขณะที่อีกจำนวนมากไม่ได้ประโยชน์) แต่กลับส่งผลให้ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเกิดอัตราผลกำไรที่สูงได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการประหยัดค่าใช้จ่ายนำเข้าเพราะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้าบางประเภท อีกทั้งยังได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลอีกทอดหนึ่ง
- ทบทวนข้อกำหนดเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และการให้เสียภาษีที่อัตราศูนย์หรือไม่ เพราะอาจกระตุ้นให้ผู้ประกอบการหันไปลงทุนในกิจการที่ข้อกำหนดเอื้อประโยชน์ทางภาษี
- เพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการตรวจสอบปัญหาใบกำกับภาษีปลอม เพราะมิเช่นนั้น จะไปกระทบต่อการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้เพิ่มมากขึ้น
- กำหนดวิธีคำนวณภาษีสรรพสามิตให้มีความโปร่งใสยิ่งขึ้น และช่วยสะท้อนให้ผู้บริโภคเห็นถึงภาระภาษีที่แท้จริง รวมทั้งควรปรับกระบวนการดำเนินงานเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจที่เกินขอบเขตของเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการบางกลุ่ม
3. การขยายฐานภาษี
ฐานภาษี คือ มูลค่าของกิจกรรมหรือมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษี โดยทั่วไปแยกเป็น 4 ลักษณะ คือ
1. ฐานภาษีเกี่ยวกับรายได้ (Income Base)
2. ฐานภาษีเกี่ยวกับการบริโภค (Consumption Base)
3. ฐานภาษีเกี่ยวกับความมั่งคั่ง (Wealth Base)
4. ฐานภาษีอื่นๆ
โดยปกติ ฐานภาษีจะมีการเปลี่ยนแปลงตามทางเศรษฐกิจด้วย เช่นการขยายตัวของจำนวนและสัดส่วนผู้มีรายได้เงินเดือนเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการ จะทำให้รายได้ภาษีจากบุคคลธรรมดามีสัดส่วนสูงขึ้น นอกจากนี้การเปิดเสรีทางการค้ามากขึ้นทำให้ภาษีศุลกากรลดความสำคัญในฐานะแหล่งรายได้ลงและทำให้รัฐบาลหลายประเทศต้องหันไปพึ่งพิงฐานภาษีอื่น เช่นภาษีเงินได้หรือภาษีการบริโภควัตถุประสงค์ของงานวิจัยในส่วนนี้คือศึกษาแนวทางการขยายและปรับปรุงฐานภาษีโดยคำนึงถึงหลักความเสมอภาคทางภาษี ซึ่งสามารถให้คำนิยามได้ดังนี้ ผู้มีฐานะใกล้เคียงกัน สภาพแวดล้อมคล้ายกัน ควรจ่ายภาษีแบบเดียวกัน ในอัตราเท่ากัน และไม่สามารถผลักภาระภาษีไปสู่ผู้อื่นได้
สาเหตุที่ฐานภาษียังไม่มีความเสมอภาค มีได้หลายประการ เช่น
โครงสร้างภาษีและอัตราภาษี โดยเฉพาะการยกเว้นกลุ่มอาชีพหรือภาคเศรษฐกิจโดยไม่คำนึงถึงฐานภาษีที่หลากหลายในกลุ่มอาชีพหรือภาคเศรษฐกิจนั้น ๆ เช่นภาคการเกษตรมักได้รับการยกเว้นหรือเก็บภาษีในอัตราต่ำ ทั้งที่มีเกษตรกรที่มีรายได้สูงจำนวนมากที่มีรายได้เท่ากับหรือสูงกว่าผู้มีรายได้นอกภาคการเกษตรที่เสียภาษีอยู่
ค่าลดหย่อนและช่องโหว่ทางกฏหมาย ระเบียบ ซึ่งในทางหนึ่งเป็นการให้การดูแลผู้มีรายได้น้อย แต่ในหลายครั้งก็เอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีรายได้สูงโดยเกินจำเป็น
การหลบเลี่ยงภาษี และการหนีภาษี เป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นทั่วไปในประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา หรือเศรษฐกิจที่มีสัดส่วนของธุรกิจใต้ดินหรือธุรกิจนอกระบบจำนวนมาก
การบังคับใช้กฏหมายภาษีไม่ทั่วถึง
ความยากในการประเมินข้อมูลฐานภาษี เช่นการประเมินรายได้ของเกษตรที่มีความไม่แน่นอนสูง การประเมินมูลค่าทรัพย์สินซึ่งมีความแตกต่างกันในรายละเอียดสูง เช่นมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในต่างพื้นที่ และยังผัวผวนตามราคาตลาดด้วย
3.1 การประเมินความเสมอภาคของฐานภาษีไทย
ในการประเมินฐานภาษีตามหลักความเสมอภาคทางภาษีนั้น จำเป็นต้องมีข้อมูลคุณภาพสูงทางด้านภาษีคือ (ก) ข้อมูลภาษีจ่ายที่แต่ละหน่วยเศรษฐกิจจ่าย ไม่ว่าจะเป็นบุคคล หรือธุรกิจ และ(ข) ฐานภาษีทั้งสามฐาน คือด้านรายได้ ด้านรายจ่ายบริโภค และด้านทรัพย์สิน ซึ่งเป็นข้อมูลที่หาให้ครบถ้วนยาก ตัวอย่างเช่น ข้อมูลกรมสรรพากร ให้ภาพการกระจายภาษีเฉพาะผู้ยื่นเสียภาษีเท่านั้น ไม่มีข้อมูลของผู้ไม่ยื่นภาษีในการศึกษานี้ได้ทดลองใช้ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคม (SES) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งมีรายงานการจ่ายภาษีโดยครัวเรือนและมีข้อมูลฐานภาษีทั้งสามด้านครบถ้วน อย่างไรก็ตามข้อควรระวังในการใช้ SES คือ หลายประการคือ ประการแรกไม่มีภาษีแยกประเภทและจำนวนภาษีก็ไม่แม่นยำ เนื่องจากผู้ตอบแบบสอบถามจำไม่ได้หรือไม่รู้ว่าเสียภาษีประเภทอะไรและเท่าไร หรืออาจไม่อยากตอบตามความเป็นจริงเนื่องจากกลัวว่าจะถูกตรวจสอบในภายหลัง ประการสองการสำรวจ SES มักตกหล่นอยู่มีรายได้สูง โดยเฉพาะผู้มีรายได้สูงมากที่มักไม่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามประเภทนี้อยู่แล้ว ประการที่สามการสำรวจจะได้เฉพาะข้อมูลภาษีของภาคครัวเรือนหรือ ธุรกิจครัวเรือนเท่านั้น ไม่รวมธุรกิจจดทะเบียนซึ่งไม่อยู่ในคุ้มรวมของการสำรวจแบบนี้
จากปัญหาข้างต้นทำให้ทั้งอัตราภาษีเฉลี่ยและโครงสร้างอัตราภาษีที่คำนวณจากข้อมูล SES ไม่ถูกต้องและต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ดังนั้นการวิเคราะห์ในส่วนจึงจำกัดตัวเองไปที่การเปรียบเทียบระหว่างผู้เสียและไม่เสียภาษีมากกว่าการดูโครงสร้างหรืออัตราภาษีทั้งระบบ โดยเน้นการเปรียบเทียบผู้ไม่เสียภาษีที่มีฐานะหรือสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับผู้เสียภาษีมากน้อยเพียงใด
3.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหลัก ๆ ของการศึกษาในส่วนนี้คือ
1. การขยายฐานภาษีควรเป็นประเด็นเร่งด่วนในการปรับโครงสร้างภาษีของไทย โดยเฉพาะการขยายความครอบคลุมไปสู่ผู้ยังไม่ได้เสียภาษีตามหลักความเสมอภาคทางภาษี (มีความสามารถในการเสียและคนอื่นที่คล้ายกันเสียอยู่แล้ว)
2. ข้อเสนอเรื่องภาษีที่ดินและทรัพย์สินเป็นเรื่องที่ควรส่งเสริม
3. อาจมีต้นทุนของการจัดเก็บภาษี ความยากในการประเมินฐานภาษี ควรมีการปรับปรุงในส่วนนี้
เช่นกัน
4. การลดหย่อนและยกเว้นในภาษีต่าง ๆ ล้วนเป็นการลดขนาดของฐานภาษี ซึ่งบางครั้งเกินความจำเป็น และมีผลเสียต่อความเสมอภาคตามแนวนอน (horizontal tax equity) คือผู้มีรายได้สูง/กิจการใหญ่ เสียภาษีน้อยกว่าความสามารถในการจ่ายมาก
การลดหย่อนในภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ทำให้ภาษีมีลักษณะก้าวหน้าน้อยกว่าที่ควรเป็น
การยกเว้นเกินจำเป็นในกรณีสิทธิประโยชน์การลงทุน