วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4233 ประชาชาติธุรกิจ
"สมคิด" เสนอปฏิรูปการคลัง ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 53 มูลนิธิสัมมาชีพร่วมกับเครือมติชน จัดโครงการอบรม "ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง" ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-5 ก.ย. เพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้กับผู้นำรุ่นใหม่ในทุกภาคส่วนของสังคมที่มีความตั้งใจจริง และมีเป้าหมายชัดเจนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในสังคมไทย และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนต่อไป
โดยวันแรกของการเปิดโครงการ ศาสตราภิชาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายกสภามหาวิทยาลัยกรุงเทพ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้บรรยายพิเศษด้วยการตั้งชื่อหัวข้อว่า "คิดใหม่ประเทศไทย" เนื่องจากเขาอยากบอกกับประเทศไทยว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องคิดใหม่ก่อนที่จะสายเกินไป
ดร.สมคิดให้ลองหลับตานึกภาพ ถ้าไม่คิดเรื่องความขัดแย้ง ลองมองที่ประเทศไทยว่ามีปัญหาอะไรที่ท้าทายเรารอการบริหารจัดการ ลองมองที่ภาคใต้มันสงบแล้วหรือ วันนี้แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง 4 จังหวัดภาคใต้กับคนไทยส่วนที่เหลือได้แต่ดูจากข่าวที่มาทีละอย่างว่าตรงนั้นระเบิด งบประมาณหมดไปเท่าไรแล้ว คนตายไปเท่าไรแล้ว ความคิดที่จะไปฟื้นฟูเศรษฐกิจที่นั่น ฟื้นฟูความกลมเกลียวที่นั่นอยู่ที่ไหน ถ้าเป็นแบบนี้ใครจะมาเชื่อมั่นเรา นี่คือปัญหาที่รอการจัดการอย่างเป็นระบบและโปร่งใส
ลองดูที่มาเลเซียซึ่งเป็นประเทศที่ฉลาด เขาประกาศจะขยับจากประเทศรายได้ระดับกลางไปสู่รายได้ระดับสูง เขามีเป้าชัดเจน
เขาลงทุนในการพัฒนาบุคลากร เขารู้ว่าความกลมเกลียวในชาติเป็นสิ่งสำคัญ เขายกเลิกสิทธิของชนชาติมาเลย์ดั่งเดิมให้ลดลงมาอย่างเท่าเทียม หรือแม้แต่อินโดนีเซียก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนจะเป็นครัวโลก ขณะที่เวียดนามประกาศปฏิรูปกฎหมาย และกระบวนการภาครัฐ รวมทั้งทุ่มเทการศึกษาและวิทยาการ ที่สำคัญกำลังจะใช้เวทีเอเชียเป็นตัวชูโรงอยู่แนวหน้าของกลุ่มอาเซียน
นั่นคือตัวอย่างบางส่วนที่ ดร.สมคิดหยิบยกมาให้เห็นว่า ทุกประเทศเขามีเป้าหมาย เขามียุทธศาสตร์ มีความมุ่งมั่นที่จะทำ
และจริง ๆ แล้วเมืองไทยข้างหน้ามีโอกาสมหาศาล จากเอเชียที่กำลังทะยานขึ้นมาด้วยจุดที่ตั้งของเมืองไทย และด้วยความสัมพันธ์ที่เราดีกับทุกประเทศในอดีต เราน่าจะได้ผลพวงจากตรงนี้มากที่สุด
ดร.สมคิดมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ประเทศที่อยู่ในสถานะคล้าย ๆ กับไทยในระยะ 5-6 ปีข้างหน้า มีภารกิจเชิงนโยบายที่สำคัญมาก ๆ 2 ระดับ คือ 1.ต้องเปลี่ยนเข็มมุ่งของทิศทางการพัฒนาจากเน้นการเติบโตเป็นหลักไปสู่การยกระดับรายได้ คุณภาพชีวิต และลดความไม่เท่าเทียมกัน และ 2.ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ด้วยวิทยาการ ไม่ใช่ด้วยจินตนาการ
ถ้าเราคิดว่า 2 แนวทางนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ชัดเจน ดร.สมคิดชวนให้หันมาพิจารณาขั้นต่อไป คือ มาดูว่าจุดแข็งในสิ่งเหล่านั้นประเทศไทยมีหรือไม่ โดยได้แสดงข้อมูลเป็นตัวอย่างบางส่วนเพื่อให้เห็นว่าตอนนี้ประเทศไทยอยู่ที่ไหน
ข้อมูลที่ว่านั่นคือ การจัดอันดับขีดความสามารถของประเทศ
ซึ่งล่าสุดอยู่อันดับที่ 36 จากเดิมอยู่ที่ 34 และในอดีตเราเคยสูงสุดอยู่อันดับที่ 30 ตอนนี้มาเลเซียอยู่เหนือเรา และถ้าเราต้องปรับ
โครงสร้างเศรษฐกิจเป็นนวัตกรรม ดัชนีที่เกี่ยวข้องนั้นต้องดูที่คุณภาพของระบบการศึกษา ซึ่งเราอยู่อันดับที่ 67 เริ่มอยู่ในระดับเดียวกับเวียดนาม รวมถึงตัวอื่น ๆ จะเห็นว่ามาเลเซียอยู่เหนือเราเกือบทั้งหมด ที่แย่กว่านั้นคือ บางเรื่องเวียดนามก็แซงหน้าเราไปแล้ว
ข้อมูลดังกล่าว ดร.สมคิดเตือนว่า เขาอาจจะผิด แต่เราต้องฟังเพื่อจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้คือหัวใจในอนาคต เพราะฉะนั้นงบประมาณการจัดสรรข้างหน้าต้องทุ่มเทให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้น
จากนั้น ดร.สมคิดได้ชี้ให้เห็นการจัดสรรงบประมาณซึ่งน่าตกใจมาก คือว่าเมื่อปี 2544 เรามีงบประมาณรายจ่าย 9.1 แสนล้านบาท แต่ 10 ปีให้หลังในปี 2554 งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นมาเป็น 2 ล้านล้านบาท หรือ 2 เท่าตัว แต่สิ่งที่เราจะต้องมองเรื่องบริหารจัดการ คือ งบฯประจำที่สัดส่วนในปี 2544 มีงบประมาณอยู่ที่ 74.4% และมีงบฯลงทุน 24% แต่ 10 ปีให้หลังงบประมาณเพิ่มขึ้น 2 เท่า แต่งบฯประจำเพิ่มขึ้นอีก 10% เป็น 80% แต่งบฯลงทุนลดลงมาจาก 24% เหลือแค่ 12.6% ถือเป็นปัญหามาก
เมื่อไปดูยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณปี 2554 จะเห็นว่า ยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงของรัฐเอาไปแล้ว 1.6 แสนล้านบาท หรือประมาณ 9% ของงบประมาณรายจ่าย อันนี้เป็นมหาอำนาจของโลก อย่างจีนอยู่ที่ประมาณ 7.5% ของจีดีพี (อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ) ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคม 6.24 แสนล้านบาท ประมาณ 30% อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องทุ่มเทถ้าต้องการสร้างความ
เท่าเทียมของสังคม ขณะที่ยุทธศาสตร์การจัดการเศรษฐกิจให้ขยายตัวและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมมีงบประมาณ 2.19 แสนล้านบาท หรือ 10.6% เกือบเท่าความมั่นคงของรัฐมากกว่ากันนิดเดียว
ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม 1.85 หมื่นล้านบาท หรือ 0.9% และมีตัวเลขอีกตัวหนึ่งเรื่องการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของทั้งประเทศ เมืองไทยอยู่ที่ 0.2% แต่ตามมาตรฐานสากลอยู่ที่ 0.25-1% โดยมาเลเซียอยู่ที่ประมาณกว่า 3% เกาหลีใต้ 3% และมีเป้าหมายจะเพิ่มให้เป็น 4-5% ส่วนยุทธศาสตร์การต่างประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งวันนี้คือหัวใจ แต่มีสัดส่วนงบประมาณเพียง 8.1 พันล้านบาท หรือมีสัดส่วน 0.4% ของงบประมาณรายจ่าย
ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดีได้งบประมาณ 3.04 แสนล้านบาท นี่คือหัวใจเพราะในงบฯ 3 แสนล้านบาทมีงบฯสำหรับแผนงานการกระจายอำนาจ 1.29 แสนล้านบาท และนี่คือเหตุผลที่ ดร.สมคิดย้ำว่า การแบ่งเป็นคลัสเตอร์ การเชื่อมโยงระหว่างส่วนกลาง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นองค์การบริหาร
ส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์กรบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาล ไล่ไปถึงชุมชน จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์เชื่อมโยงไม่เช่นนั้นงบประมาณในส่วนนี้จะถูกใช้สิ้นเปลืองมาก ๆ
ขณะที่รายการค่าดำเนินงานภาครัฐ ใช้งบประมาณ 5.09 แสนล้านบาท แต่ถูกจัดสรรไปเรื่องแผนการบริหารบุคลากรของรัฐ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายประจำถึง 2.12 แสนล้านบาท เกือบครึ่งหนึ่ง แปลว่าค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่อยู่ที่ค่าจ้างแรงงานข้าราชการ ส่วนแผนงานบริหารนี้ของรัฐมีงบประมาณ 2.16 แสนล้าน หรือเกือบ 10% ของ
จีดีพี และเกือบครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายดำเนินงานของรัฐ ตรงนี้ถ้าเพิ่มขึ้นจะยิ่งบีบไปเอาค่าใช้จ่ายเพื่อสังคม และการใช้จ่ายเพื่อเศรษฐกิจ
ดร.สมคิดบอกว่า พอดูตัวเลขเหล่านี้จะรู้ว่ามีเงินก้อนหนึ่งแต่ใช้เพื่อพัฒนาสังคมมีแค่ 30% ใช้ด้านเศรษฐกิจเรื่องของการปรับโครงสร้างมีประมาณ 10% แต่เมื่อมาดูการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 10% พบว่าจะลงไปตามกระทรวงต่าง ๆ แล้วข้าราชการกระทรวงเสนอโครงการขึ้นมา ไม่มียุทธศาสตร์เลยว่าเราจะไปทางไหนอย่างไร ทำให้เงินเพียงแค่ 10% จะถูกกระจายไปโครงการนู้น โครงการนี้ตลอดเวลา
"สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาหรือไม่" ดร.สมคิดตั้งคำถาม เมื่อดูต่อไปในงบประมาณ 2 ล้านล้านของปี 2554 ดร.สมคิดบอกว่า ความสามารถยืนด้วยขาตัวเอง หรือความสามารถจัดเก็บรายได้มีแค่ 1.65 แสนล้านบาท แปลว่ารายได้หาได้แค่นี้ ที่เหลือต้องกู้ โดยตัวเลขกระทรวงการคลังชัดเจนว่ารายจ่ายเพิ่มขึ้นโดยตลอด 10 ปี แต่รายได้รายรับที่ผ่านมา 5 ปีที่แล้วโตปีละ 17-18% ตอนนี้รายได้โตประมาณปีละ 14-15%
เพราะฉะนั้น ความสามารถในการทำรายได้โตไม่ทันจีดีพี และขอบเขตเพดานการหารายได้ก็มีน้อยลง ถ้าเป็นแนวโน้มแบบนี้แล้วเราไม่พยายามปรับปรุงหรือปฏิรูปรัฐบาล แปลว่ามันไม่ได้เกิดในรัฐบาลนี้ แต่มันจะไปเกิดกับยุคข้างหน้าแน่นอน
ดร.สมคิดบอกว่า ประมาณปี 2541 รัฐบาลกู้มาตลอด และในปี 2548-2549 คืองบประมาณสมดุล ไม่กู้เลย ตอนนั้นคืนเงินกู้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และเป็นงบประมาณสมดุล แต่พอปี 2550 ไล่มาปี 2554 ยอดการกู้เงินเพิ่มขึ้นพอสมควร โดยมีสัดส่วนต่องบประมาณรายจ่ายจาก 9.3% ในปี 2550 ขึ้นมาเป็น 20.3% ของรายจ่ายรัฐบาล ถือว่าค่อนข้างเยอะ
อย่างไรก็ตาม ดร.สมคิดยอมรับว่า เรื่องก่อหนี้ไม่ว่ากัน เพราะแต่ละยุคสมัยมีสถานะไม่เหมือนกัน เพียงแต่จะชี้ให้ดูว่าเราต้องดูให้ดี คืองบฯประจำสูงตลอด งบฯลงทุนหดตลอด และเมื่อปี 2549 งบฯเศรษฐกิจมีสัดส่วน 23% ตอนนี้ประมาณ 10% นับว่าน้อยมาก
ดังนั้น ถ้าไม่มีทิศทางยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน งบประมาณที่มีจำกัดจะถูกใช้ไปเรื่อย ๆ ขณะที่ด้านเงินกู้ถ้าไม่สามารถสร้างรายได้ให้สูงพอไม่ทันก็ต้องกู้เพิ่ม ในงบประมาณปี 2549 หนี้สาธารณะต่อ
จีดีพีอยู่ที่ 41% ต่อจีดีพี จากนั้นลดลงมาก 38% และตีขึ้นไปใหม่ ล่าสุดอยู่ที่ 42.5% ณ พ.ค. 2553 และถ้ากู้จนครบ 400,000 ล้านบาทในปี 2554 ก็แปลว่าหนี้สาธารณะจะขึ้นมาสู่ 50% ในไม่ช้า และถ้าไม่มีการควบคุมดูแลก็จะขึ้นมาชนเพดาน 60% ในอนาคตข้างหน้า
ดร.สมคิดแสดงความเป็นห่วงว่า ถ้าเรามีข้อจำกัดเรื่องงบฯลงทุน มีข้อจำกัดเรื่องงบฯพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม มีข้อจำกัดเรื่องการกู้ เรื่องภาระหนี้ ก็หมายความว่าต้องตัดสินใจในระยะยาวว่า ถ้าเราจะต้องใช้จ่ายเพื่อพัฒนาให้มากขึ้น จะต้อง "ปฏิรูปการคลัง" ณ วันนี้
โดยจะจัดระเบียบการใช้จ่ายอย่างไร ยุทธศาสตร์ต้องมีจะใช้อะไรก่อนหลัง ไม่ใช่พรรคใครเสียงเยอะก็ได้ใช้เยอะ นั่นคือเพื่อเสถียรภาพรัฐบาล ไม่ใช่เพื่ออนาคตประเทศไทย ส่วนเรื่องของ
รายได้ต้องตัดสินใจ ถ้าต้องใช้ลงทุนเยอะ แปลว่าตัวรายได้จะเข้ามา ฐานภาษีรัฐจะเอาอย่างไร การปรับปรุงโครงสร้างภาษีต้องตัดสินใจ และเรื่องของรายจ่าย เรื่องการให้สิทธิพิเศษทางภาษีของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งให้สิทธิพิเศษทั้งหมด ต้องลดให้หมด แล้วดูว่าอนาคตจะไปสู่จุดไหน ตัวไหนจะให้ ตัวไหนจะไม่ให้
"เพราะฉะนั้น เราเลิกเถียงกันว่า กระทบหรือไม่กระทบ มันมีบุญเก่าให้ใช้ไม่มาก แต่อนาคตข้างหน้าอยู่ที่วันนี้"
หน้า 2
เรื่องอื่นน่าสนใจ - ขยายฐานภาษีปี 54 -
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=310&contentID=84851
ไทยกระจายรายได้อันดับแย่ของโลก ทั้งปท.เสียภาษีแค่2.3ล้านคน -
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1282269234&grpid=&catid=05
- คลังลุยรื้อภาษีมุ่งลดเหลื่อมล้ำ -http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=51718:2010-12-29-02-17-49&catid=85:2009-02-08-11-22-45&Itemid=417
|