วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10:17:16 น. มติชนออนไลน์
สรรพากรประกาศนโยบาย BIG CHANGE ตั้งเป้าปี54 เก็บภาษี 1.3 ล้านล้าน
กรมสรรพากรจัดกระบวนทัพใหม่ ประกาศนโยบาย BIG CHANGE เดินหน้าปรับโครงสร้างภาษีแบบมีส่วนร่วม ปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศใช้กำกับดูแลผู้เสียภาษีใกล้ชิด พัฒนาฐานข้อมูลสารสนเทศเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ สร้างนวัตกรรมบริการรูปแบบใหม่ ๆ และเสริมการบริการที่มีอยู่ ให้มีบริการที่หลากหลาย สะดวกรวดเร็วโดนใจผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีมากยิ่งขึ้น
คอลัมนิสต์ผู้ทรงคุณวุฒิ - สาธิต รังคสิริ |
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ |
วันพุธที่ 09 มีนาคม 2011 เวลา 10:14 น. |
ในวันที่ 2 กันยายน 2554 ที่จะถึงนี้ กรมสรรพากรจะมีอายุครบ 96 ปี หรือ 8 รอบ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากรมสรรพากรได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการจัดหารายได้ให้แก่รัฐบาล เพื่อนำไปเป็นรายจ่ายในการบริหารและพัฒนาประเทศ ผ่านกระบวนการจัดเก็บภาษีอากรประเภทต่างๆ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น
ทั้งนี้ ในการจัดเก็บภาษีตลอดระยะเวลากว่า 80 ปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรจะได้รับเป้าหมายของการจัดเก็บภาษีผ่านกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งปกติแล้วเป้าหมายในแต่ละปีก็จะเพิ่มขึ้นตามอัตราการขยายตัวของรายจ่ายรัฐบาล และเป็นไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งกรมสรรพากรก็สามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายหรือมากกว่าตลอดมา เว้นแต่ในช่วงที่เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ เช่น วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 หรือ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2550 ที่อาจจะจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายไปบ้าง
อย่างไรก็ตาม การทำงานของกรมสรรพากรในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ นอกจากปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นตามปกติแล้ว กรมสรรพากรจะมีความท้าทายเพิ่มเติมอีกหลายประการ ได้แก่
1. การเปิดเสรีทางการค้า
เป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องเปิดเสรีทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA) ไปจนกระทั่งในระดับนอกอาเซียนที่เป็นลักษณะทวิภาคี (Free Trade Agreement: FTA) ทำให้ประเทศไทยต้องมีการปรับลดอัตราภาษีขาเข้าเพื่อให้เป็นไปภายใต้กรอบเจรจาการค้าระหว่างประเทศ การปรับลดอัตราอากรดังกล่าวนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลดลงของรายได้ภาษีศุลกากร และยังส่งผลกระทบโดยอ้อมต่อภาษีสรรพสามิต และภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากสินค้าอีกด้วย
ดังนั้น ในการจัดทำประมาณการรายได้ของรัฐบาลนั้น กรมสรรพากรนอกจากจะได้รับเป้าหมายที่เพิ่มขึ้นในส่วนของตนเองแล้ว ยังจะต้องรับผิดชอบเพิ่มเติมอีก ทั้งนี้ เพื่อทดแทนในส่วนของกรมอื่นที่จะจัดเก็บได้ลดลงอีกด้วย เช่น เป้าหมายในปีงบประมาณ 2555 เมื่อเปรียบเทียบกับของปีงบประมาณ 2554 กรมสรรพากรได้รับเป้าหมายเพิ่มขึ้นประมาณ 8% ขณะที่ 2 กรมที่เหลือได้รับเพิ่มขึ้นประมาณ กว่า 4% เท่านั้น
2. การจัดทำงบประมาณสมดุลภายใน 5 ปี
ตามที่กระทรวงการคลังได้กำหนดแผนปฏิบัติการด้านรายได้ งบประมาณรายจ่าย และการบริหารหนี้สาธารณะของรัฐบาล เพื่อให้งบประมาณเข้าสู่ภาวะสมดุลภายในระยะเวลา 5 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2553 เป็นต้นไป ทำให้เป้าหมายการจัดเก็บภาษีเปรียบเทียบระหว่างปี 2554 กับปี 2558 ของกรมสรรพากร จะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ปกติทั่วไป จึงถือเป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่งของกรมสรรพากร
3. ภาษีสูญเสียจากการนำเสนอมาตรการภาษี
บทบาทหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของกรมสรรพากร นอกจากภารกิจในด้านการจัดเก็บภาษีแล้ว กรมยังมีหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การนำเสนอมาตรการภาษีเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยในช่วงระยะเวลา 2 - 3 ปีที่ผ่านมา กรมได้มีการออกมาตรการภาษีเป็นจำนวนมาก เช่น มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุน ROH & IPC มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ชุมนุม มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น ในการออกมาตรการภาษีเหล่านี้จะมีผลทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้ลดลง หรือที่เรียกว่ารายจ่ายทางภาษี (Tax Expenditure) ดังนั้นในภาพรวมการจัดเก็บภาษีของกรมก็จะมีความยากลำบากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
4. การปรับบุคลากรลดลงตามกรอบการลดอัตรากำลังของ ก.พ.
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะทำการลดอัตรากำลังของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐลงเมื่อมีการเกษียณอายุ โดยนำระบบ IT เข้ามาแทนที่นั้น นโยบายดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบต่อกรมสรรพากรโดยตรง เนื่องจากลักษณะงานของกรมสรรพากรจะมีลักษณะเป็น Profit Center ที่มีภารกิจเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ไม่ใช้ Cost Center ดังนั้น จึงไม่สมควรปรับลดอัตรากำลัง นอกจากนี้ในการจัดเก็บภาษีนั้น ภารกิจบางอย่างต้องใช้เจ้าหน้าที่ในการบริหารจัดการ เช่น การตรวจสอบเอกสาร การประเมินต่างๆ
5. ข้อจำกัดของงบประมาณรายจ่ายของกรมสรรพากร
โดยเฉลี่ยแล้ว กรมสรรพากรจะได้รับงบประมาณรายจ่ายประมาณ 7,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อรับผิดชอบในการจัดเก็บภาษีประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งกว่าร้อยละ 70 นั้นจะเป็นงบบุคลากร ทำให้กรมสรรพากรไม่งบประมาณมากพอที่จะไปลงทุนในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อนำไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี รวมทั้งในเรื่องภาษีอากรนั้นจำเป็นต้องมีงบประมาณเพื่อทำการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ความรู้ต่อบุคคลภายนอกและผู้เสียภาษีอีกด้วย
ดังนั้น ภายใต้ภารกิจหน้าที่และข้อจำกัดในด้านต่างๆ ที่ได้กล่าวข้างต้น กรมสรรพากรจึงได้มีการปรับกระบวนทัพใหม่ ภายใต้นโยบาย RD BIG CHANGE โดยมีแผนงานที่สำคัญ ดังนี้
1. การปรับโครงสร้างภาษีแบบมีส่วนร่วม
การปรับโครงสร้างภาษีที่จะเกิดขึ้น จะเป็นการดำเนินงานโดยมีผู้แทนจากภาคเอกชนเข้ามามีส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูล เสนอความคิดเห็น และร่วมกำหนดแนวทาง ทั้งนี้โครงสร้างภาษีใหม่นี้จะมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ คือ การยกระดับรายได้ สร้างโอกาสและเข้าถึงโอกาส การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน การเสริมสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม และส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุน
2. การปฏิรูปกฎหมายภาษี
จะมีการปฏิรูปกฎหมายภาษี โดยการทำให้กฎหมายมีความชัดเจน เข้าใจง่าย สอดคล้องกับหลักการจัดเก็บภาษีอากรที่ดีและเป็นธรรม รวมทั้ง กฎหมายจะต้องมีทิศทางที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม และจะต้องมีการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีอากร ขณะเดียวกันต้องช่วยขจัดอุปสรรคทางภาษี
นอกจากนี้จะมีการเพิ่มบทบัญญัติของกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษีระหว่างประเทศ เช่น เรื่อง DTA, TP, APA, Thin Cap, Treaty shopping, GAAR - substance over form, CFC เป็นต้น ซึ่งผมจะเขียนสรุปในรายละเอียดของเรื่องเหล่านี้ในโอกาสต่อไปครับ
3. การปรับระบบงานโดยใช้ IT ที่ทันสมัย
กรมสรรพากรจะมีการปรับระบบงานโดยใช้ IT ที่ทันสมัย ทั้งนี้ เพื่อบูรณาการฐานข้อมูลร่วมกับภาครัฐและเอกชน พัฒนาระบบงานเพื่อการบริหารจัดเก็บด้วยระบบ IT การใช้ IT ช่วยป้องกันการหลบเลี่ยงภาษี และการนำผู้ที่อยู่นอกระบบภาษีเข้าสู่ระบบ และดูแลผู้เสียภาษีในระบบอย่างมีคุณภาพ
4. สร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อการบริการ
กรมสรรพากรมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการให้บริการประชาชน ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และทัศนคติที่ดีในการให้บริการ รวมทั้งเสริมสร้างความสมัครใจในการเสียภาษี โดยจะมีการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การพัฒนาระบบชำระภาษีด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (Tax Smart Card) การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการยื่นแบบและบันทึกข้อมูลด้วย Bar Code และการพัฒนาระบบควบคุมการออกใบกำกับภาษีด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เป็นต้น
นอกจากแนวทางข้างต้น 4 ประการแล้ว กรมสรรพากรยังได้เพิ่มเติมรูปแบบการทำงานใหม่ คือ "การบริหารงานแบบ Matrix" โดยมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงเป็นหัวหน้าคณะทำงานเฉพาะกิจ ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวทั้งหมด ถึงแม้จะไม่ใช่ลูกน้องตามสายการบังคับบัญชา ทั้งนี้เพื่อให้คณะทำงานสามารถพิจารณาประเด็นต่างๆ ได้เป็นที่ยุติในชั้นคณะทำงาน แล้วจึงส่งให้กรมสรรพากรพิจารณาได้เลย โดยไม่ต้องส่งไปกลับตามสายการบังคับบัญชาตามรูปแบบเดิม ซึ่งจะเป็นการลดขั้นตอนและระยะเวลาการทำงานลง เช่น คณะทำงานการส่งเสริมความรู้ให้ผู้เสียภาษี คณะทำงานพัฒนาตลาดทุน คณะทำงานปิดช่องโหว่กฎหมายภาษี คณะทำงานปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ คณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี เป็นต้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,616 10-12 มีนาคม พ.ศ. 2554
|
*
6.532
วันนี้ (27 ตุลาคม 2553) นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม/สัมมนา สรรพากรภาค สรรพากรพื้นที่ ทั่วราชอาณาจักรประจำปีงบประมาณ 2554 ระหว่างวันที่ 27-29 ตุลาคม 2553 ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ การจัดประชุม / สัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบนโยบายและทิศทางการบริหารจัดเก็บภาษีสำหรับปีงบประมาณ 2554 ให้แก่หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกรมสรรพากรจากทั่วประเทศ และเพื่อร่วมจัดทำแผนงานการบริหารจัดเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ภาษีอากรตามที่กรมฯ ได้รับมอบหมาย ตามเอกสารงบประมาณจำนวน 1.30 ล้านล้านบาท รวมทั้งมีการวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ของภาคธุรกิจและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้บริหารได้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคและโอกาสในการบริหารจัดเก็บภาษีเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้รับ ซึ่งหลักการสำคัญมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงพอสรุปได้โดยสังเขป มีดังต่อไปนี้
1.การเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่ในฐานต่างๆ บูรณาการให้เป็นเครือข่ายฐานข้อมูลร่วม ที่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานอยู่บนฐานความถูกต้องเป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้น โดยสามารถลดโอกาสการหลีกเลี่ยงภาษีได้ไปพร้อมๆ กัน
2.รณรงค์และกระตุ้นให้ผู้เสียภาษีหันมาใช้บริการยื่นแบบฯ และชำระภาษีผ่านระบบ Internet ให้มากที่สุด โดยพัฒนาระบบที่เพิ่มเติมความสะดวกในการทำธุรกรรมกับกรมสรรพากร และขจัดความผิดพลาดของการบันทึกข้อมูล (Data Entry) ที่เกิดจากการยื่นแบบฯ กระดาษแบบเก่า ซึ่งการดำเนินนโยบายนี้ยังช่วยให้กรมฯ พัฒนาฐานข้อมูล เช่น ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม เสริมประสิทธิภาพการทำงานได้อีกด้วย
3.พัฒนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เอื้อต่อการตรวจสอบ และพัฒนาแนวทางการตรวจสอบโดยใช้ระบบ "บัญชีตรวจ" (Check list) ที่จะทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปภายใต้มาตรฐานเดียว สร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
4. จัดทำคู่มือช่วยคำนวณภาษีในแต่ละกลุ่มธุรกิจ หรือ Tax Kit ที่เมื่อปฏิบัติตามคู่มือ ก็จะอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องเบื้องต้น ที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติด้านภาษีของผู้ประกอบการและลดภาระงาน ด้านตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
5.การปรับปรุงโครงสร้างภาษี ให้เกิดความเป็นธรรม และก่อภาระภาษีในลักษณะที่ทั่วถึง โดยการปรับปรุงแต่ละเรื่องต้องคำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ภายใต้หลักความสามารถที่จะนำไปปฏิบัติได้และเป็นไปตามความสามารถในการจ่ายภาษี เป็นต้น
"กรมสรรพากรมีความตั้งใจที่จะให้บริการที่ดีแก่ผู้เสียภาษีและประชาชน ให้ได้รับความสะดวก รวดเร็วในการติดต่อราชการกับกรมสรรพากร เพื่อสร้างความพึงพอใจและความสมัครใจในการเสียภาษี และจะอาศัยเครื่องมือต่าง ๆ ในการควบคุมดูแลผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบมีการเสียภาษีถูกต้องมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความทั่วถึงและเป็นธรรม ถึงแม้ตัวเลขเป้าหมายการจัดเก็บที่ได้รับในปี 2554 จะสูงถึง 1.30 ล้านล้านบาท แต่กรมสรรพากรก็เชื่อมั่นว่า ด้วยความทุ่มเททำงานหนักของเจ้าหน้าที่สรรพากร จะส่งผลให้การจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2554 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามที่ได้รับมอบหมาย โดยสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของธุรกิจ และเหมาะสมกับผู้ประกอบการแต่ละราย "นายสาธิตกล่าว
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- ศาลสั่งจำคุกกก.บริษัทSCH4ปีร่วมฉ้อโกงเสี่ยงภาษีให้การเป็นประโยชน์ลดเหลือ3ปีไม่รอลงอาญา -
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1289544902&grpid=&catid=05&subcatid=0500
- เปิดแผนรีดภาษี 3 ล้านล้านบาท -http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=50769:3&catid=104:-financial-&Itemid=443
- คลังลุยรื้อภาษีมุ่งลดเหลื่อมล้ำ -http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=51718:2010-12-29-02-17-49&catid=85:2009-02-08-11-22-45&Itemid=417
|