สรรพากรเตรียมลุยปรับโครงสร้างภาษีแบบมีส่วนร่วมในปี 2554 หวังสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งการส่งเสริมสวัสดิการสังคม ปฏิรูปโครงสร้างภาษีแบบองค์รวม ศึกษาแผนการขยายฐานรายได้ ขยายฐานภาษี, กำหนดประเภทภาษีใหม่, ทบทวนการลดหย่อนและยกเว้นภาษี, ปรับอัตราภาษีเงินรางวัล ปฏิรูปโครงสร้างภาษีแบบองค์รวม
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพการ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงประเด็นแนวทางการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ เพื่อสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมว่า ในแผนงานของหลักของกรมในปี 2554 นั้น จะมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างภาษีแบบมีส่วนร่วม โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับรายได้ รวมถึงการสร้างโอกาสการเข้าถึง ตลอดจนเสริมสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่ง ณ ขณะนี้ได้มีการวางแนวทาง ประกอบไปด้วย 1. การวิเคราะห์ในส่วนของอุบัติการภาษี (tax incidence) โดยเฉพาะภาษีเงินได้ เพื่อหาแนวทางในการกระจายภาระภาษี และสำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งอาจจะทำโดยการทบทวนรายการยกเว้นภาษี เป็นต้น
2. การส่งเสริมด้านสวัสดิการสังคม และการให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ด้อยโอกาสทางสังคม เช่น คนชรา และคนพิการ ยกตัวอย่างเช่น มาตรการภาษีกรณีของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาโดยให้อาจให้สิทธิประโยชน์นำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลได้ และ 3. การศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดภาษีประเภทใหม่ๆ ที่จะสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เช่น ภาษีมรดก ภาษีการให้ ภาษีความมั่งคั่ง (Wealth tax) นอกจากนี้ในส่วนของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่กระทรวงการคลังได้ดำเนินการผลักดันให้มีผลบังคับใช้ จะเป็นมาตรการหนึ่งที่จะช่วยสร้างความเท่าเทียมกันให้กับสังคมได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกจากการปรับโครงสร้างภาษีแบบมีส่วนร่วมแล้ว การติดตามผู้ที่หลีกเลี่ยงภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษี ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมเช่นกัน
นายสาธิตยังได้กล่าวถึงแนวทางการดำเนินการขยายฐานภาษีให้เพิ่มมากขึ้นด้วยว่า การทำให้ผู้ที่มีรายได้ที่ถึงเกณฑ์เสียภาษีเข้ามาอยู่ในระบบนั้น นับว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ดังนั้นกรมจึงได้มีนโยบายในการดำเนินการด้านดังกล่าว 2 แนวทาง ได้แก่ 1.การนำระบบเทคโนโลยีไอทีที่ทันสมัย เข้ามาช่วยขยายฐานภาษี โดยจะเป็นการปรับปรุงระบบไอที ไม่ว่าจะเป็นทางด้านของเครือข่ายฐานข้อมูล (Data Base Network), การทำรายการแบบทันทีทันใด (Real time transaction), การจัดการกับห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain management) และการจัดทำแผนที่ภาษี (Tax mapping) เป็นต้น และ 2. การจัดทำภาษีให้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำให้กฎหมายมีความชัดเจนเข้าใจง่าย, การเพิ่มช่องทางการให้ความรู้, การปรับปรุงการให้บริการ และจัดทำคู่มือผู้เสียภาษีสำหรับแต่ละกลุ่มธุรกิจ เป็นต้น
ทั้งนี้ในส่วนของการปฏิรูปโครงสร้างภาษีนั้น กรมจะมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปแบบองค์รวม และพิจารณาประเภทภาษีไปพร้อมๆกัน โดยมีแนวทางหลักประกอบไปด้วย 1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจะมีการปรับปรุงประเภทเงินได้ เช่น รวมเงินได้ประเภทที่ 1 กับ 2, ปรับค่าใช้จ่าย , ปรับค่าลดหย่อน , ยกเลิกเงินได้บางรายการที่ได้รับยกเว้น ยกตัวอย่างเช่น ค่าสอน หรือค่าสอบที่ทางราชการ หรือสถานศึกษาของทางราชการจ่ายให้ เป็นต้น 2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยจะมีการพิจารณาอัตราภาษีให้มีความเหมาะสม หรือการปรับปรุงสิ่งจูงใจต่างๆ (revise incentives) และการปรับปรุงตามมาตรฐานบัญชีใหม่
3.ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย โดยกรมจะมีการดำเนินการปรับปรุงประเภทเงินได้ที่ต้องมีการหัก ณ ที่จ่าย หรืออาจจะมีการปรับปรุงอัตรา เช่น เงินรางวัลชิงโชค เป็นต้น 4.ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งอาจจะมีการปรับปรุงแก้ไขรายการที่ได้รับการยกเว้น หรือเพิ่มรายการยกเว้นใหม่ๆสำหรับสินค้าจำเป็นพื้นฐาน เพื่อให้สอดคล้องกับกรณีการปรับเพิ่มอัตรา 5.ภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยกรมจะมีการศึกษาปรับธุรกิจที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะในปัจจุบันให้เสียภาษีในรูปแบบอื่นที่เหมาะสม และยกเลิกภาษีธุรกิจเฉพาะ 6.อากรแสตมป์ ซึ่งจะมีการปรับปรุงในส่วนของประเภทตราสาร และวิธีการจัดเก็บให้สอดคล้องกับธุรกรรมในปัจจุบัน และ 6.การปรับปรุงภาษีระหว่างประเทศ
จากบทวิจัยเรื่อง ความท้าทายของนโยบายการคลัง : สู่ความยั่งยืนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะยาว โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ผ่านมา ได้ระบุว่า ผลจากการยกเว้นภาษี อาทิ การยกเว้นภาษีสำหรับผู้มีเงินได้ 150,000 บาทแรก ทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้จากมาตรการนี้เท่ากับ 35,700 ล้านบาทต่อปี
ส่วนค่าลดหย่อนที่มีลักษณะเป็นสินทรัพย์ของผู้มีเงินได้ (LTF, RMF,ดอกเบี้ยบ้าน ,ซื้อบ้านใหม่ ,ประกันชีวิต ,กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และประกันสังคม ) รัฐต้องสูญเสียจากการลดหย่อยภาษีเหล่านี้อีก 25,300 ล้านบาท หรือรวมแล้วรัฐบาลสูญเสียรายได้จาก 2 ส่วนดังกล่าวเป็นวงเงินราว 60,000 ล้านบาท
ผู้วิจัยบทความดังกล่าวยังเสนอแนะให้รัฐ ควรพิจารณากลับไปใช้ค่าลดหย่อน เทียบเท่าปี 2544 นั่นคือ 1.การให้สิทธิลดหย่อนส่วนของ RMF ให้เหลือ 300,000 บาท (จากปัจจุบันสูงสุด 500,000 บาท หรือสูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้พึงประเมิน) 2.ดอกเบี้ยบ้านให้สูงสุด 50,000 บาท (ปัจจุบันลดหย่อนได้สูงสุดถึง 100,000 บาท) 3.ประกันชีวิตสูงสุดเป็นไม่เกิน 50,000 บาท (จากปัจจุบันสูงสุด 100,000 บาท เมื่อรวมกรมธรรม์บำนาญได้สูงสุดถึง 300,000 บาท ) 4.ประกันสังคมได้สูงสุด 9,000 บาท 5. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสูงสุด 300,000 บาท หรือไม่เกิน 15% ของรายได้พึงประเมิน และ 6. ยกเว้นเงินได้พึงประเมิน 60,000 บาท (จากปัจจุบันที่ 150,000 บาท )
โดยนอกจากลดสิทธิในเรื่องของค่าลดหย่อนดังที่กล่าวข้างต้น ยังเสนอให้ยกเลิกการให้สิทธิลดหย่อน กรณีการลงทุนใน LTF ที่ปัจจุบันเงินลงทุนดังกล่าว ให้ลดหย่อนภาษีได้ถึง 500,000 บาท เมื่อรวมกับการลงทุน RMF หรือสูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้พึงประเมิน เนื่องจาก LTF เป็นการส่งเสริมตลาดทุนภายในประเทศ ต่างจาก RMF เป็นการลงทุนเพื่อประโยชน์การออมวัยเกษียณ
บทวิจัยดังกล่าวยังระบุว่า ค่าลดหย่อนที่มีลักษณะเป็นสินทรัพย์ของผู้มีเงินได้ดังกล่าว นอกจากจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ ยังมีส่วนสำคัญสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม เนื่องจากกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากค่าลดหย่อนดังกล่าวมักจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูง โดยข้อมูลปี 2551 พบว่าผู้มีเงินได้สูงกว่า500,000 บาทขึ้นไป มีการใช้สิทธิค่าลดหย่อนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะผู้มีรายได้สูงมากๆ เกิน 4 ล้านบาท ใช้สิทธิค่าลดหย่อนดังกล่าวสูงมาก เฉลี่ยรายละ 216,850 บาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปี 2544 ถึง 208,280 บาท ในขณะที่ผู้มีรายได้น้อยไม่ได้รับประโยชน์จากค่าลดหย่อนดังกล่าวมากนัก
สะท้อนการกระจุกตัวของสิทธิลดหย่อนบางประเภท ทำให้ผลประโยชน์ค่าลดหย่อนไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย กลับไปเอื้อประโยชน์ให้กับคนที่มีฐานะดี ทำให้อัตราภาษีที่มีลักษณะก้าวหน้า ถูกลดทอนด้วยค่าลดหย่อนดังกล่าว อีกทั้งยังไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนจากการให้สิทธิค่าลดหย่อนดังกล่าว .
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,596
30 ธันวาคม พ.ศ. 2553 - 1 มกราคม พ.ศ. 2554
|