การควบรวมกิจการ และการซื้อกิจการ (Merger and Acquisition : M&A) จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้องค์กรธุรกิจ หน่วยงาน หรือบริษัทต่างๆ มีฐานะมั่นคง เพื่อใช้เป็นทางลัดนำไปสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจได้เร็วขึ้น เพราะสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถหลักของกิจการทั้งในด้าน ทรัพย์สิน ทักษะ เทคโนโลยี การตลาด ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ สินค้าและบริการที่กิจการดังกล่าวครอบครองอยู่
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง Deal ควบรวมและ ซื้อกิจการสำคัญๆ ของเมืองไทยกล่าวว่า
ภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกมีการควบรวมกิจการมากที่สุด เติบโตขึ้นร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับปี 2547 คิดเป็นการเติบโตของเม็ดเงินร้อยละ 50 ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าเป็นการควบรวมกิจการแบบไม่เป็นมิตร
ดังนั้น เป็นเรื่องที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไทยควรที่จะให้ความสำคัญ เพราะปัจจุบันหลายบริษัทไม่ได้ดูแลราคาหุ้นของบริษัท ปล่อยให้ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีต่ำ หรือมีอัตราส่วน ราคาต่อกำไรสุทธิ (พีอี เรโช) ต่ำ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการถูกซื้อกิจการได้ง่าย ซึ่งผู้บริหารบจ.ต้องทำให้ราคาหุ้นสะท้อนความเป็นจริงให้มากขึ้น ต้องเพิ่มฐานเพิ่มทุนเพื่อสามารถทำธุรกิจได้กว้างขวางขึ้น เพิ่มความเข้มแข็งและศักยภาพให้กับบริษัท เพื่อแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติ ภายหลังการเปิด FTA และป้องกันการควบรวมกิจการแบบไม่เป็นมิตร
?กระแสโลกาภิวัตน์แรงมาก ดังนั้น ผู้บริหารบริษัทจะนั่งเฉยไม่ได้ ต้องมีการปรับตัวเพื่อเพิ่มขนาดของบริษัทให้ใหญ่ขึ้น เพิ่มฐานทุนให้แข็งแรง โดยอาจจะมีการรวมกิจการระหว่างบริษัทไทยด้วยกันเอง เพื่อสู้กับบริษัทข้ามชาติ เพราะผู้เล่นที่แข็งแรงและมีจุดเด่นเท่านั้นที่จะอยู่ได้? นายก้องเกียรติกล่าว
สำหรับรูปแบบของการทำ M&A ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ แบ่งได้ 3 วิธี คือ วิธีที่แรกคือ ซื้อด้วยเงินสด ส่วนใหญ่มักออกมาในรูปของการขายหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งวิธีนี้จะง่าย สะดวก และเร็วที่สุดเข้ามา บริหารงานได้ทั้งหมด วิธีที่สองคือ แลกหุ้น วิธีนี้เจ้าของเดิมยังคงมีสิทธิและรับความเสี่ยงตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่ และวิธีสุดท้ายคือ การทำทั้ง 2 วิธีร่วมกัน
แม้ว่าการทำ M&A จะช่วยให้บริษัทหรือหน่วยงานนั้นๆ แข็งแกร่งขึ้น แต่การทำ M&A ไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ดร.ก้องเกียรติบอกว่า ย่อมต้องส่งผลกระทบกับองค์กร หรือหน่วยงานนั้นๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในแง่ของการบริหารงานองค์กร และวัฒนธรรมองค์กรที่ต้องเปลี่ยนไป พนักงานบางส่วนต้องตกงาน หรืออาจต้องศูนย์เสียพนักงานที่มีความสามารถไปอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อธุรกิจถ้าหากควบรวมกิจการไปแล้วไม่ประสบความสำเร็จ
?ข้อควรระวังจากการควบรวมกิจการ คือ เป้าหมายในการควบรวมกิจการไม่ชัดเจนนั้นจะทำให้การควบรวมกิจการล้มเหลว วัฒนธรรมองค์กรเข้ากันไม่ได้ และแผนของธุรกิจที่วางไว้ไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งก่อนที่จะมีการดำเนินงานนั้นจะต้องมีแผนที่ชัดเจนก่อนทำสัญญาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด?
สำหรับสัญญาณบอกเหตุว่าบริษัท หรือ หน่วยงานนั้นอยู่ในภาวะที่ต้องทำ M&A หรือไม่นั้น ดร.ก้องเกียรติแนะว่า ให้ประเมินจากแนวโน้มของธุรกิจ หากโอกาสทางการทำธุรกิจลดลง ส่วนต่างกำไร และส่วนแบ่งการตลาดเหลือน้อย ในขณะที่ต้นทุนในการดำเนินงานสูงขึ้น พนักงานที่มีความสามารถเริ่มจะไม่อยู่กับบริษัท หรือบุคลากรที่มีความสามารถเริ่มไม่สนใจเข้ามาร่วมงานกับบริษัท
นายกิตติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์กรรมการ บริษัทเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินด้านกฎหมายและเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกลยุทธ์ควบรวมและซื้อกิจการแนะนำว่า
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการควบรวมกิจการ อยู่ที่ ?รูปแบบ? เพราะถ้ารูปแบบดีก็ดีไปเลย แต่ถ้าไม่ดีผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็จะทำให้ไม่ประสบความเร็จเท่าที่ควร 2.ต้องตีมูลค่าทรัพย์สินให้ดี เพราะถ้าเราต้องการที่จะขายกิจการ เราก็ต้องคิดว่าควรที่ขายในราคาเท่าไร? ที่จะทำให้เราได้กำไรและผู้ซื้อสามารถยอมรับได้ในราคาดังกล่าว 3.ต้องคิดว่าคนที่ซื้อแบรนด์เราไป เขาจะเอาแบรนด์เราไปทำให้เสียหายหรือไม่? หรือซื้อไปเพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจ 4.ซื้อแล้วได้เทคโนโลยีหรือไม่?
สำหรับการควบรวมหรือซื้อกิจการในประเทศ ?นายกิตติพงษ์? บอกว่า จะกระทำได้โดยการซื้อหุ้น ซึ่งการซื้อหุ้นก็แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ ซื้อหุ้นแบบ ?เป็นมิตร? กับ ?ไม่เป็นมิตร? โดยที่ผ่านมาก็ได้เห็นการซื้อกิจการแบบไม่เป็นมิตรในดีล ?แกรมมี่? กับ ?มติชน?
?กระแสควบรวมและซื้อกิจการมาแรง ดังนั้นเจ้าของบริษัทที่จดทะเบียนและระดมทุนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จำเป็นที่จะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกระดานอย่างใกล้ชิด อย่ากระพิบตา เพราะเมื่อไรที่คุณกะพริบตา คุณอาจจะสูญเสียความเป็นเจ้าของ? นายกิตติพงษ์กล่าว
นายกิตติพงษ์บอกต่ออีกว่า การเทกโอเวอร์แบบ ?ไม่เป็นมิตร? ถือเป็นเรื่องปกติในต่างประเทศ และในอดีตก็เคยเกิดขึ้นกับธนาคารสหธนาคารและธนาคารแหลมทองมาแล้ว รวมทั้งกรณีธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (บีบีซี) ซึ่งวิธีการดังกล่าวหากยืดเยื้อยาวนานจะเป็นผลเสียกับธุรกิจของทั้ง 2 ฝ่าย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ายังมีบริษัทอีกหลายแห่งที่อยู่ในข่าวจะถูกเทกโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตร เนื่องจากผู้บริหารไม่ดูแลราคาหุ้น ปล่อยให้ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
สำหรับวิธีการป้องกันการเข้าซื้อกิจการ แบบไม่เป็นมิตร เขาบอกว่า สามารถทำได้หลายวิธีคือ1.การเฝ้าระวังราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ให้ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงและติดตาม การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นว่ามีความผิดปกติหรือซื้อล็อตใหญ่หรือไม่? 2.การปรับโครงสร้างการบริหารงาน เช่น จัดตั้งเป็นโฮลดิ้ง คัมพานี เพื่อให้เป็นอุปสรรคต่อการเทกโอเวอร์ 3.การแก้ไขข้อบังคับของบริษัทเพื่อป้องกันการซื้อกิจการ เช่น หากจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหารจะต้องได้รับเสียงมากกว่าร้อยละ 90 จากเดิมที่ต้องได้รับเสียง 3 ใน 4
4.การสร้างเงื่อนไขกับเจ้าหนี้เพื่อป้องกันการเทกโอเวอร์ เช่น หากเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารงานจะถูกเจ้าหนี้เรียกชำระคืนเงินทันที เลิกจ้างผู้บริหาร 5.การสร้างอุปสรรคในการทำงานสำหรับผู้ที่จะเข้าซื้อกิจการ (poison pill) เช่น การทำให้มูลค่าของบริษัทลดน้อยลงด้วยการจ่ายคืนหนี้หรือต้องจ่ายเงินให้กรรมการบริษัทเป็นจำนวนมากหากเลิกจ้าง 6.การเพิ่มทุนเพื่อรักษาสัดส่วน 7.การฟ้องร้องคดี 8.การตั้งโต๊ะซื้อหุ้นแข่งกับผู้ที่จะเข้าซื้อกิจการ 9.การสำรองจำนวนหุ้นไว้และขายในราคาแพง (Green mail) เป็นต้น