อมรศักดิ์ พงศ์พศุตม์ amornsak@tax-thai.com
ฤดูยื่นภาษี (บุคคลธรรมดา) เริ่มงวดเข้ามา (อีก) แล้ว! แต่บรรยากาศปีภาษีนี้ ดูอึมครึมพิกล เพราะทั้งกรมสรรพากรและผู้เสียภาษี ต่างฝ่ายต่างหวาดผวาซึ่งกันและกัน แฮ่ๆ!
ปกติแล้ว ผู้เสียภาษี (taxpayers) ไม่ค่อยเต็มใจจะย่างกรายเข้าสู่รั้ววายุภักษ์ (สรรพากร) สักเท่าใด เพราะเข้าไปทีไรต้องซีดเซียว (เพราะถูกจับรีดภาษีจนหน้าเขียว) ออกมาทุกที!
แต่ปีจอ (2006) นี้ การณ์กลับตาลปัตร เพราะมีกลุ่มผู้ประท้วงนายกฯ (เรียกตัวเองว่า?กลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย?) ได้แห่กันอย่างผึ่งผายเข้าไปยื่นสาส์นประท้วงต่อกรมสรรพากร ในกรณีการพิจารณา (ไม่) เก็บภาษีการขายหุ้น Shin Corp. ซึ่งในวันนั้นได้สร้างความเสียว (ตื่นเต้น) แก่เหล่าเจ้าหน้าที่ (นักเก็บภาษี) กันอุตลุด!
แฮ่ๆ?ทุกวันนี้ พอมีประชาชนกลุ่มใหญ่เข้ามาใกล้รั้ววายุภักษ์ทีไร หัวใจ (ดวงน้อยๆ) ของคณะเจ้าหน้าที่ฯ มีอันต้องผวาสงสัยว่า ?เอ็งมาจะยื่น (ชำระ) ภาษี หรือชำระความ (ค้างคาเก่า) กันหว่า??
สถานการณ์ตะลึงตึงเครียดเช่นนี้ เห็นใจทั้ง 2 ฝ่าย (โดยเฉพาะผู้จ่ายภาษี)?จึงขอใช้เวทีนี้สร้างความสมานฉันท์ ผ่อนคลายอารมณ์ (บ่จอย) ด้วยการให้คำแนะนำถึงกลยุทธ์ (ประหยัด) ภาษี แด่ธุรกิจรากหญ้า (SMEs) ทั้งหลาย ดังนี้ครับ
1. กลยุทธ์ภาษี?ธุรกิจเกษตรไทย
เมืองไทยของเราเป็นประเทศเกษตรกรรมมาแต่ดึกดำบรรพ์ เพราะความเหมาะสมของทำเลที่ตั้ง ภูมิอากาศ และความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมของผืนดิน ฯลฯ
80% ของประชากรเมืองไทย จึงมีอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนรากหญ้าแท้จริงของประเทศนี้?พวกเขามีความยากจนข้นแค้น และด้อยการศึกษามาหลายชั่วอายุคน เพราะขาดกำลังทรัพย์และขาดโอกาส แถมยังถูกเอารัดเอาเปรียบแทบทุกประตูตลอดมา จนยากที่จะโงหัว (ถ้าไม่มีกลยุทธ์การผลิต/การค้า และธุรกิจฯ เข้ามาเสริมช่วย)
ภาพจะกลับเป็นตรงกันข้าม?ถ้าเรามองไปที่เกษตรกรของชาติใหญ่ๆ หรือประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อเมริกา เป็นต้น
จำได้ว่า เมื่อครั้งที่ผู้เขียนไปท่องเที่ยวที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ซูโจว หังโจว ฯลฯ พบว่า ตลอด 2 ข้างทางที่รถแล่นไปนอกตัวเมือง หรือระหว่างเมือง จะพบเห็นว่ามีการสร้างบ้านขนาดใหญ่ (2 ชั้น, 3 ชั้น) อยู่ทั่วไป ซึ่งได้ความว่า ส่วนใหญ่เป็นบ้านของชาวนา/เกษตรกรจีน ซึ่งมีฐานะร่ำรวยกว่า/ความเป็นอยู่ (ก็ดี) กว่า พนักงานที่ทำงานตามบริษัทห้างร้านในเมือง (เงินเดือน ไม่เหลือเก็บ เพราะถูกกดดันจากค่าครองชีพที่สูงลิบ)
รัฐบาลจีน จะสนับสนุนอุ้มชูเกษตรกรของเขาโดยให้เช่าที่แปลงใหญ่เพื่อเพาะปลูก/ทำมาหากิน ไปชั่วลูกหลานเป็นมรดกตกทอด (แต่ห้ามโอนขาย)?เกษตรกรบางคนมีฐานะถึงขั้นส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศ นัยว่าเพื่อให้ได้ภาษาและความเท่ (เพราะเป็นนักเรียนนอก) แม้จะส่งเรียนประเทศใกล้ๆ เช่น ไทย (ABAC) เป็นต้น
สำหรับเกษตรกรของประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกา ฯลฯ นั้น ล้วนได้รับการอุปถัมภ์อุ้มชูจากรัฐบาลทั้งสิ้น เช่น การประกันราคาพืชผล การช่วยหาตลาดต่างประเทศ โดยผ่านการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (FTA) รวมถึงนโยบายกีดกันพืชผลทางการเกษตรจากต่างประเทศ โดยผ่านการตั้งกำแพงภาษี (ในอดีต) ซึ่งในปัจจุบันอาจใช้ non-tariff barrier เช่น การตั้งเกณฑ์มาตรฐานสุขอนามัย (SPS) ที่สูงๆ เป็นต้น?ชาวนา/เกษตรกรของประเทศร่ำรวย เหล่านี้ ล้วนมีฐานะดี และมีอิทธิพล (กดดัน) ต่อรัฐบาลได้มากกว่าบ้านเราเยอะเชียวครับ บางคนถึงขั้นเป็นเศรษฐี/อภิมหาเศรษฐี เช่น การปลูกไร่องุ่น และตั้งโรงงานผลิตไวน์ชั้นนำของโลก เป็นต้น และกลายเป็นผู้สนับสนุนหลังฉากของพรรคการเมืองฯ ก็มี
เมื่อเป็นเช่นนี้?ก็แปลว่า ?เกษตรกรไทย? ก็ย่อมมีโอกาสที่จะมั่งคั่งร่ำรวยได้เช่นกัน (ถ้าเดินถูกทาง) ดังที่ผู้เขียนจะสาธยายเป็นตัวอย่างพอสังเขปดังนี้ครับ
(1) ธุรกิจสวนเกษตร
เมื่อราว 10 ปีก่อน (ยุคฟองสบู่เริ่มแตก) มีเพื่อนคนหนึ่งของผู้เขียนคุยให้ฟังว่า ตนได้ดอดไปซื้อที่ดินผืนใหญ่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อปลูกสวนส้ม โดยว่าจ้างคนงานในท้องถิ่นจำนวนหนึ่งบริหารจัดการและดูแลสวนส้มแห่งนี้
ช่วงนั้น ผู้เขียนรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่คงสติแตกหรืออย่างไร ที่นำเงินไปหว่านทิ้งในหุบป่าเขาเช่นนั้น
ครั้นมาลองนั่งลำดับความคิดดู ก็จินตนาการได้ว่า เพื่อนเราคิดการณ์ใหญ่และฝันไกลจริงๆ เพราะธุรกิจนี้มีโอกาสทำกำไรได้หลายชั้น เริ่มแต่สวนส้ม ซึ่งคัดเลือกพันธุ์ที่ดีเลิศ (เช่นส้มโชกุน) ซึ่งน่าจะให้ผลผลิตที่สูง (เพราะสภาพอากาศ และภูมิประเทศอำนวย) และราคาดี (กำไรงาม) เพราะกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
การทำเกษตรกรรมประเภทไม้ล้มลุกและธัญชาตินี้ มีภาระภาษีต่ำ เพราะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (มาตรา 81 (1) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร) จึงมีเพียงภาระภาษีเงินได้ฯ ซึ่งสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายเหมาได้ถึง 85% (พรฎ.#11, หากตั้งในรูปบุคคลธรรมดาหรือคณะบุคคล)
ซึ่งถ้าอ่านใจเพื่อนโดยมองข้ามช็อตไปถึงทิศทางการเติบโต/ขยายธุรกิจ ก็ต้องชูหัวแม่โป้งให้ว่า เขาสามารถเดินได้หลายช่อง เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ การเปิดเป็นวิทยาลัยเกษตรกรรมให้มีพื้นที่ทำแปลงสาธิตได้กว้างขวาง หรือจะพัฒนาเป็นรีสอร์ท & สปา เป็นต้น ซึ่งเมื่อพื้นที่เจริญขึ้น ก็ย่อมทำให้ที่ดินมีมูลค่าเพิ่มหาศาล ซึ่ง unrealized capital gain นี้ มีตัวเลขสูงกว่าธุรกิจดั้งเดิมเป็นไหนๆ?ซึ่งท้ายที่สุดอาจมีโอกาสเป็นรัฐมนตรี ด้วยการสมัครผู้แทนฯ มีฐานเสียงเป็นคนงานมากมายในไร่อีกต่างหาก แฮ่ม!
(2) ธุรกิจสวนองุ่นและไวน์
เอ่ยถึงไวน์ก็คงต้องเป็น ?ชาโต เดอ ชาละวัน? ของเสธหนั่นฯ (พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์) หัวหน้าพรรคมหาชน ซึ่งใช้เวลาช่วงเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ไปผลักดันธุรกิจสวนองุ่นของตนที่จังหวัดพิจิตร โดยตั้งโรงงานผลิตไวน์องุ่นชั้นแนวหน้าของไทย เพื่อส่งขายทั้งในและต่างประเทศ
ไวน์ของเสธหนั่นฯ ได้เคยชนะการประกวดคัดเลือกขึ้นเสิร์ฟบนเครื่องบินของการบินไทยมาแล้ว จึงย่อมการันตีในคุณภาพว่าไม่เป็นสองรองใคร แถมยังมีราคาถูกกว่าไวน์ชั้นดีจากฝรั่งเศส อิตาลี จึงเป็นการช่วยลดการขาดดุล การค้าได้อีกด้วย
ในอนาคต หากสามารถพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมและได้ผู้ร่วมทุนต่างชาติที่มี know - how และประสบการณ์ (กว่านี้) ก็ย่อมมีโอกาสเลื่อนระดับขึ้นเบียดแข่งกับไวน์ชั้นนำในตลาดโลกได้ เช่นกัน
กลยุทธ์ธุรกิจของเสธหนั่นฯ คือ การเปิดธุรกิจท่องเที่ยวฟาร์มนกกระจอกเทศและสวนเกษตรฯ เพื่อเป็นรายได้เสริมฯ ซึ่งถ้าวางแผนการเติบโตเป็นธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ก็จะต้องจัดโครงสร้างทางธุรกิจให้เหมาะสม เช่น การตั้งบริษัทแยกเป็นแต่ละประเภทธุรกิจ (หรือไม่?) การเล็งซื้อที่ดินเพิ่มเติม ซึ่งต้องมองถึงตลาดสินค้าของตนว่าอยู่โซนใด (อเมริกา, ยุโรป, จีน หรืออาเซียน) เพราะในระยะยาวเมื่อโลกนี้เป็นเขตการค้าเสรีแบบไร้พรมแดน (เต็มรูป) ซึ่งไม่มีกำแพงภาษี (อากรขาเข้า) การแข่งขันเรื่องต้นทุนก็จะโฟกัสไปที่ปัญหาโลจิสติกส์ (logistics) ว่าใครจะเคลื่อนสินค้าถึงมือ ผู้บริโภคได้เร็วกว่าในต้นทุนการขนส่งที่ต่ำกว่า!
(3) ธุรกิจเกษตรครบวงจร
ณ วินาทีนี้ ต้องยกให้กลุ่ม เจียไต๋ (ซีพี) เป็นเจ้าแห่งธุรกิจเกษตร/ปศุสัตว์ครบวงจร ที่สมบูรณ์แบบทั้งทางด้านวิสัยทัศน์ ทิศทาง เงินทุน การตลาด การผลิต (ที่ดิน/โรงงาน/เทคโนโลยี) และบุคลากร (เก่งๆ ของไทย ถูกดูดมาไว้ที่นี่เกือบหมด!)
วิสัยทัศน์ (vision) ในการทำธุรกิจถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเข้าทำนอง ?ผู้ที่เห็นช่อง/เห็นโอกาสทางธุรกิจ (market opportunity) ย่อมกำชัยเกินครึ่งตัวแล้ว? เพราะเดินหมากก่อน ย่อมกุมสภาพได้เบ็ดเสร็จทั้งชัยภูมิ ชื่อเสียง เครือข่าย และสัมพันธภาพ (connection) โดยเฉพาะการเจาะตลาดต่างแดน เช่น กรณีที่ ซีพีกรุ๊ป บุกเบิกไปตั้งโรงงาน และสวนเกษตรขนาดใหญ่โตมโหฬารที่จีนก่อนใครๆ นั้น ชัดเจนว่า เป็นการได้เปรียบกว่าคู่แข่งขันแทบทุกชาติที่เพิ่งเริ่มตื่นตัวและกำลังหาวิธีปีนไต่กำแพงเมืองจีน ในขณะที่จีนวันนี้ฟื้นคืนเป็นยักษ์ใหญ่และมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกไปแล้ว!
การทำธุรกิจการค้า/การลงทุน/การผลิต ในลักษณะบรรษัทข้ามชาติ (multinational corporation (MNC)) เช่นนี้ มีความจำเป็นจะต้องสร้างฐานรากและจัดโครงสร้างทางธุรกิจให้ถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้าง เงินทุน/ผู้ถือหุ้น/และภาษีอากรฯ
กล่าวสำหรับในมุมภาษีอากร จะต้องศึกษาภาระภาษีของทั้ง 2 ประเทศ (คือ ไทย/จีน) เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ซึ่งลดได้โดยตั้งบริษัทในเขตเศรษฐกิจพิเศษบางแห่งในจีนฯ) สิทธิประโยชน์จากอนุสัญญาภาษีซ้อน (DTA ไทย-จีน) สนธิสัญญาเปิดเขตการค้าเสรีไทย/จีน อาเซียน/จีน เป็นต้น ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนค่าอากรศุลกากรลงได้มาก หากเข้าตามเงื่อนไขของแหล่งกำเนิดสินค้า เป็นต้น