เรื่อง การใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้ และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2528 โดยให้มีผลใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไป จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา แนวคิดในการออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้ และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มีอย่างไร
วิสัชนา แต่เดิมก่อนรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2528 นั้น ตามประมวลรัษฎากร มิได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้ และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไว้เป็นการแน่ชัด คงเป็นที่รู้กันว่าถือปฏิบัติตามหลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้ และรายจ่าย ต่อมากรมสรรพากรโดยกองภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ทำการประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด เนื่องจากธนาคารมิได้นำดอกเบี้ยค้างรับมารับรู้เป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งๆ ที่ธนาคาร ยอมรับว่าตนใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้ และรายจ่ายทางบัญชี แต่ธนาคาร ก็อ้างในคำอุทธรณ์ว่า ตามประมวลรัษฎากรมิได้มีข้อกำหนดให้ธนาคาร ต้องใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้และรายจ่าย จึงต้องใช้หลักเกณฑ์ทั่วไปในการรับรู้รายได้ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร อันได้แก่ คำว่า "เงินได้พึงประเมิน" ซึ่งกำหนดให้ใช้เกณฑ์เงินสด ในการรับรู้เงินได้พึงประเมิน เว้นแต่จะมีบัญญัติเป็นอย่างอื่น ในขณะนั้นยังไม่มีศาลภาษีอากร ธนาคารจึงนำเรื่องที่คณะกรรมการพิจารณายกอุทธรณ์ขึ้นฟ้องศาลแพ่ง ปรากฏว่า ทั้งสามศาลพิพากษาเป็นทางเดียวกันให้กรมสรรพากรแพ้คดี ธนาคารจึงไม่ต้องชำระภาษีเงินได้ตามหนังสือแจ้งการประเมินของกรมสรรพากรแม้แต่บาทเดียว ผลของคำพิพากษาดังกล่าวก่อให้เกิดช่องโหว่มหาศาล น่าที่เกิดความวุ่นวายขึ้นในสังคม โดย เฉพาะวงการธุรกิจและภาษีอากร กรมสรรพากรจึงเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร มาตรา 65 โดยบัญญัติให้ใช้ "เกณฑ์สิทธิ" (Accrual Basis) ในการคำนวณรายได้ และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไว้เป็นการแน่ชัดเสมอ เว้นแต่ในกรณีจำเป็น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอาจจะขออนุมัติต่ออธิบดีกรมสรรพากร เพื่อเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การคำนวณรายได้ และรายจ่าย หรือวิธีการทางบัญชีเพื่อคำนวณรายได้ และรายจ่ายก็ได้ และเมื่อได้รับอนุมัติจากอธิบดีแล้ว ให้ถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่อธิบดีกำหนดเป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ในการที่จะขออนุมัติใช้เกณฑ์การคำนวณรายได้ และรายจ่ายตามเกณฑ์อื่น จึงได้มีคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.1/2528 อนุญาตให้บางกิจการใช้เกณฑ์การคำนวณรายได้ และรายจ่ายโดยใช้เกณฑ์อื่นใดที่มิใช่เกณฑ์สิทธิได้ แต่ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ดังกล่าวโดยสม่ำเสมอ
ปุจฉา มีแนวคิดในการแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.1/2528 อย่างไร
วิสัชนา แนวคิดในการแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.1/2528 ด้วยคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.155/2549 พอสรุปความได้ดังนี้
1. คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.1/2528 ได้ออกมาใช้บังคับเป็นเวลานานกว่า 20 ปี แล้ว จึงเป็นเวลาสมควรที่จะทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้มีความทันสมัย และเป็นสากล
2. แม้กรมสรรพากรจะได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.1/2528 แต่ก็ยังไม่ครบถ้วนในบางประเด็นจึงต้องออกแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ของบางประเภทกิจการอันได้แก่ (1) สำหรับกิจการสนามกอล์ฟ หรือกิจการให้บริการตามสัญญาระยะยาวแก่สมาชิก ได้มีการออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.39/2537 ลงวันที่ 11 มกราคม 2537 (2) สำหรับกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีรายละเอียดของการรับรู้รายได้ และรายจ่าย จึงต้องออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.61/2539 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2539 ซึ่งเป็นการออกมาเพื่อยกเลิกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.35/2536 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2536 ที่เคยได้วางแนวทางปฏิบัติไว้แล้ว แต่ทั้งสองคำสั่งไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติในทางบัญชีตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 26 ก่อให้เกิดการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างมาก อันเป็นการสร้างภาระ และเพิ่มต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งขัดแย้งกับวัตถุประสงค์หลักของกรมสรรพากร (3) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.73/2541 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ซึ่งกำหนดให้รับรู้เงินประกัน เงินมัดจำ เงินจอง หรือเงินเรียกเก็บล่วงหน้ามาเป็นรายได้ ซึ่งขัดแย้งกับหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ที่ถือเป็นเพียงเจ้าหนี้ของกิจการ และเป็นการพิจารณาด้านบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้รับที่เพียงด้านเดียว
3. เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของกรมสรรพากรซึ่งเป็นหน่วยงานระดับกรมที่ทันสมัย หัวก้าวหน้า แต่เรื่องหลักในการปฏิบัติการเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ และรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางภาษีเงินได้นิติบุคคลยังไม่ทันสมัย ก็เป็นคะแนนติดลบในสายตาผู้ประเมินทั่วไป
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ