หากบริษัทไทยในโลกธุรกิจยุคโลกาภิวัตน์ ต้องการเก็บเกี่ยวข้อมูลเพิ่มขีดแข่งขัน ทำกำไรให้ได้สูงสุด ซีเอ็นเอ็นมันนี่ ดอท คอม มีไอเดียเด็ดจาก 5 บริษัทชั้นนำระดับโลกมาฝาก
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ในโลกธุรกิจยุคโลกาภิวัตน์ ที่มีแต่การเปลี่ยนแปลงทุกวันนี้ การแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดและลูกค้า ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของบริษัทเอกชนทั่วโลก ซึ่งมีขนาดทั้งใหญ่และเล็ก
แต่บริษัทจะบรรลุเป้าหมายติดท็อปชาร์ท มีผลการดำเนินงานดีเยี่ยม สามารถทำกำไรสูงสุดได้อย่างไรนั้น ต้องอาศัยแนวคิดและแนวทางปฏิบัติ ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ดังนั้นข้อมูลจากเรื่อง เคล็ดลับสุดยอดของบริษัทชั้นเยี่ยมระดับโลก จากเวบไซต์ของซีเอ็นเอ็นมันนี่ ดอท คอม ที่รวบรวม 25 ไอเดียเด็ดของบริษัทชั้นนำของโลก ไปจนถึงบริษัทโนเนมมีขนาดเล็ก จึงน่าจะแฝงประโยชน์และความคิดน่าสนใจ สำหรับผู้บริหารบริษัทไทยทั่วไป
แต่ด้วยเนื้อที่มีจำกัด Tricks and Tips ฉบับนี้จึงได้คัดสรรถ่ายทอดแนวความคิดของบริษัทใหญ่มีเครือข่ายสาขา หรือผลงานปรากฏอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกเพียง 5 แห่งมานำเสนอ
@กล่องรับข่าวร้ายไว้คอยสอดส่องรับรู้ปัญหา คือความคิดแรกที่ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ และได้มาจาก รอยเบน มาร์ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของคอลเกต-ปาล์มโอลีฟ หลังจากเขาผิดสังเกตและตั้งข้อสงสัยว่า ธุรกิจของคอลเกต-ปาล์มโอลีฟในช่วงทศวรรษหลังปี 2533 ดีเกินไป จนทำให้มาร์คกังวลว่าอาจมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นได้
ดังนั้นมาร์คจึงตัดสินใจที่จะตั้งกล่องระบบเตือนภัยล่วงหน้า ก่อนที่ภัยหรือปัญหาจะสร้างวิกฤติภายในองค์กร ในแต่ละวันทำงานที่สำนักงานของคอลเกต มีกล่องพลาสติกสีแดงประมาณ 6 กล่องวางอยู่บนโต๊ะซีอีโอ และบนโต๊ะผู้บริหารระดับสูงอื่นของคอลเกต
ทั้งนี้ภายในกล่องสีแดงแต่ละกล่อง เป็นรายงานสถานการณ์แต่ละแห่ง เป็นแบบฟอร์มให้ผู้จัดการของคอลเกตประจำภูมิภาคกรอกข้อมูล เพื่ออธิบายปัญหายุ่งยาก ที่ทำให้โรงงานชะลอการผลิต ไปจนถึงปัญหาการบาดเจ็บของคนงาน
จากเคล็ดลับข้อนี้ ปรากฏตัวอย่างเช่นกล่องแดงกล่องหนึ่ง รายงานปัญหาการปล้นรถบรรทุกขนส่งสินค้าของคอลเกตในสาธารณัฐโดมินิกัน ขณะที่กล่องแดงอีกกล่องหนึ่งรายงานการค้นพบยาสีฟันปลอมแปลงใช้ยี่ห้อของบริษัทในตลาดประเทศแอฟริกาใต้ เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้จัดการของคอลเกตจัดการกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ แต่มีรายงานหนึ่งทำให้มาร์คตื่นตัวว่า บรรดาพนักงานของคอลเกตในเมืองบัดดิ ประเทศอินเดีย มีคำถามหลายข้อเกี่ยวกับเรื่องโรงงานแห่งหนึ่งจัดการอย่างไรกับน้ำเสีย
ข้อมูลข้างต้นทำให้คอลเกตรีบจัดทีมวิศวกร เพื่อเลี่ยงปัญหามากมายที่ทำให้บริษัทเสียชื่อ ดังนั้นเคล็ดลับข้อนี้จึงเป็นการใช้อำนาจการตรวจตราตัวเอง และผู้บริหารคนหนึ่งของคอลเกตย้ำว่าไม่มีใครที่รายงานปัญหา และจากนั้นไม่ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับปัญหานั้น ซึ่งอาจบอกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่กระบวนการนี้เปรียบเหมือนแรงทำให้โลกหมุนต่อไปได้
@"ปล่อยให้พนักงานเปิดเผยความในใจ" Office Graffiti ผู้ผลิตเวบไซต์ Google ซึ่งนิตยสารฟอร์จูนสำรวจบริษัทที่ดีที่สุดจากทั้งหมด 100 แห่งที่น่าทำงาน ประจำปี 2550 โดยกูเกิลยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ได้รับเลือกเป็นบริษัทที่ดีที่สุดที่น่าทำงานในสหรัฐ
Office Graffiti หรือเป็นที่รู้จักในชื่อของ Google เป็นบริษัทแห่งหนึ่งสามารถขยายงานกำลังคนได้เกือบ 2 เท่าในแต่ละปี นับจากปี 2545 จนปัจจุบันมีพนักงานทั้งสิ้น 5,800 คน Google ย่อมเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก แต่ภายใต้ชื่อ Office Graffiti บริษัทไม่ได้ปฏิบัติเหมือนเป็นบริษัทใหญ่
เพราะหนึ่งในหลายแนวทาง ที่ภายในบริษัทยังคงปฏิบัติอยู่ เป็นการไม่พึ่งพาหรือใช้เทคโนโลยีน้อย ด้วยการนำกระดานขาวมาตั้งตามพื้นที่สาธารณะ ตามทางเดินภายในสำนักงานใหญ่ในเมาเทนวิว มลรัฐแคลิฟอร์เนีย กระดานขาวเหล่านี้นำมาใช้กับทีมผลิตภัณฑ์ เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดียกัน
แต่จะมีกระดานขาวใหญ่สุด 2 กระดาน มีความยาว 30 ฟุต ยกให้ทุกคนในบริษัทแสดงออกด้วยความเท่าเทียมกัน โดยกระดานขาวอันหนึ่งรวบรวมการ์ตูน และมุขตลกที่พนักงานช่วยกันเขียน ภายใต้สโลแกนที่ว่า "Google's Plan for World Domination" หรือ แผนของกูเกิลเพื่อครอบงำโลก
โดยเดวิด เครน ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารอธิบายว่า กระดานขาวพิเศษนี้เป็นศิลปะแห่งการรวมด้วยช่วยกัน และเขาย้ำว่าบุคลากรของบริษัทอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเติบโต เมื่อมีพนักงานเข้ามามีชื่อปรากฏบนบอร์ด พนักงานเก่าจะสังเกต สามารถซึมซับจุดมุ่งหมายหรือเจตนารมณ์ของสมาชิกในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว
@"บอร์ดบริหารต้องประชุมและมีเวลาหาข้อมูลนอกห้อง" เคล็ดลับข้อนี้เป็นของโฮม ดีโปบริษัทผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ของใช้ภายในบ้านชั้นนำของสหรัฐ ซึ่งให้ความสำคัญกับบรรษัทภิบาล ให้ความสำคัญและจริงจังกับการทำงานเต็มเวลา บริษัทชั้นนำแห่งนี้กระตือรือร้น ที่จะทำให้บรรดาผู้บริหารในบอร์ดปฏิบัติตัวดีขึ้นสอดคล้องกับการดำเนินงานของบริษัท และใช้ความฉลาดมีเหตุมีผล พึ่งพา บ๊อบ นาร์เดลลิ ประธานกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารโฮม ดีโปน้อยลง
ไอเดียนี้เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน นาร์เดลลิเริ่มเรียกร้อง ให้สมาชิกในบอร์ดบริหารของบริษัททั้ง 12 คน ใช้เวลาระหว่างวันไปเยี่ยมดู ร้านของโฮม ดีโปถึง 12 แห่งต่อปี และนำข้อมูลที่ค้นพบถ่ายทอดให้กับบอร์ดได้รับทราบ
บรรดาผู้บริหารเลือกร้านสาขาที่ไปเยือน ซึ่งปกติแล้วจะไม่แจ้งหรือประกาศให้ทราบ แต่จะปฏิบัติการเยี่ยมเยียนเลย สมาชิกบอร์ดจะออกสนาม พูดคุยกับกลุ่มลูกค้าเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาชอบหรือไม่ชอบ ภายในองค์กรเองสมาชิกบอร์ดบริหารของโฮม ดีโป ก็จะทำเช่นนี้กับบรรดาพนักงานและผู้จัดการเหมือนกัน
นอกจากนี้สมาชิกบอร์ดบริหารยังเข้าไปดู จุดตรวจสอบการให้บริการลูกค้า และรายการสิ่งของที่มีอยู่ในคลัง การประชุมบอร์ดทุกไตรมาส หัวข้อการประชุมรวมถึงเวลาที่จะหารือเพื่อการเดินทางภาคสนามด้วย
เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งของโฮม ดีโปให้ความเห็นว่า การปฏิบัติเช่นนี้เป็นตัวอย่างหาได้ยาก เพราะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับกรรมการบริหารที่เป็นสมาชิกในบอร์ด จะปฏิบัติงานในพื้นที่จำกัด และได้ข้อมูลจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
ดังนั้นเคล็ดลับของผู้บริหารโฮม ดีโปนั้น เปรียบเป็นความแตกต่างระหว่างการตรวจสอบชั้นวางของในห้าง และการอ่านจากเพาเวอร์ พอยท์ โครงการผลักดันสมาชิกบอร์ดบริหารให้ปฏิบัติงาน ยังช่วยคัดแยกกรรมการเป็นสมาชิกในบอร์ดที่ไม่สามารถทำหน้าที่ออกไปได้ ยกตัวอย่างสมาชิกในบอร์ดของโฮม ดีโป 2 คน ลาออกตั้งแต่ปี 2547 ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาทั้งสองคนไม่มีเวลาให้กับการทำงาน
@"ผู้ถือหุ้นเป็นใหญ่จงขจัดปัญหาให้พวกเขาก่อนปัญหาจะเกิดขึ้น" คือแนวคิดไม่ลับของมาร์ค เพรสซิงเจอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการผู้ถือหุ้นของโคคา โคลาหรือโค้ก ที่เข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่ปี 2539 โคคา โคลาเป็นบริษัทจดทะเบียนเพียงไม่กี่แห่ง ที่ให้ความสำคัญกับการสานสัมพันธ์กับนักลงทุนมากกว่าจะทำแค่งานประชาสัมพันธ์
เพรสซิงเจอร์ได้รับการพิจารณาให้ติดอันดับต้นๆ หัวหน้าฝ่ายสานสัมพันธ์กับนักลงทุนมือดีในสหรัฐ ด้วยเหตุผลไม่ใช่แค่ตำแหน่งของเขา แต่เป็นเพราะอิทธิพลทางความคิด กับความเป็นอิสระจากประธานเจ้าหน้าที่บริหารงานของบริษัท
เพรสซิงเจอร์ไม่เหมือนกับผู้บริหารคนอื่นในบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ ที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานเหมือนกัน เพรสซิงเจอร์รายงานโดยตรงต่อที่ปรึกษาทั่วไปของบริษัท โดยไม่ต้องรายงานต่อเนวิลล์ อิสเดลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโคคา โคลา และถ่ายทอดความกังวลของนักลงทุนตรงให้บอร์ดบริหารงานบริษัทรับทราบ
หน้าที่ของเพรสซิงเจอร์ถือเป็นงานหนัก ซึ่งเน้นไปที่เป้าหมายแก้ปัญหาให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเนลล์ มิโนว นักวิจารณ์บรรษัทภิบาลชั้นนำของโคคา โคลา กล่าวว่าเมื่อบริษัทส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากปัญหาผู้ถือหุ้น บริษัทเหล่านี้จะสร้างกำแพงทางใจขึ้นมา และไม่เคยเรียกหาผู้ถือหุ้นที่กล่าวหาพวกเขา แต่เพรสซิงเจอร์กลับเรียกหา ให้ผู้ถือหุ้นบริษัทช่วยแก้ปัญหาเพิกถอนมติบอร์ด
@"ทบทวนกลยุทธ์เปิดเสรีแลกเปลี่ยนไอเดียในที่ประชุม" เป็นเคล็ดลับสุดท้ายที่มาจาก เอ.จี. ลาฟลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ที่เข้ามารับตำแหน่งนี้ตั้งแต่ปี 2543 แต่ผลงานจากการใช้เคล็ดลับข้อนี้ ทำให้ยอดขายของบริษัทผู้ผลิตของใช้ในบ้านชั้นนำของสหรัฐแห่งนี้ พุ่งพรวดพราดจาก 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นมากกว่า 5.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
คำถามที่น่าสนใจคือ อะไรอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงปรับตัวได้ดีเช่นนี้ ซึ่งลาฟลีย์เฉลยแล้วว่า ผลงานที่ออกมาดีข้างต้นนั้น ขึ้นอยู่กับการทบทวนกลยุทธ์แต่ละปี และการประชุมตลอดทั้งวัน กำหนดแนวและทิศทางให้กับสินค้าทุกประเภทของบริษัท
ลาฟลีย์เข้ามารับงานในพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล พบว่าการทบทวนกลยุทธ์เป็นเหมือนฉากละครมากกว่าการอภิปรายโต้แย้งกันอย่างจริงจัง ดังนั้นลาฟลีย์จึงเข้ามาปฏิวัติระบบเสียใหม่ โดยอันดับแรกให้หัวหน้าของแต่ละแผนก ส่งการนำเสนอไปให้เขาดูก่อนทบทวนกันอย่างเป็นทางการ ลาฟลีย์จะส่งคืนจุดสำคัญที่กังวลใจกลับมาให้ ซึ่งผู้นำเสนอถูกจำกัดเวลานำเสนอเพียง 3 หน้ากระดาษเพื่อประหยัดเวลาให้กับการถามตอบ
ในขั้นตอนถัดมา การทบทวนกลยุทธ์ไม่หยุดก่อน 5 โมงเย็น กระบวนการอาจใช้เวลานานหลายวันหรือหลายสัปดาห์จนกว่าทุกคนจะเห็นด้วย ในขั้นตอนที่สามลาฟลีย์เน้นไปที่การอภิปรายใน 2 ประเด็น คือ จะเล่นตรงไหนและชนะได้อย่างไร ลาฟลีย์และผู้บริหารคนอื่นๆ ช่วยเดบ เฮนเรตต้า ประธานแผนกกำหนดว่า จะเล่นตรงไหนบ้าง และจะชนะได้อย่างไร จากนั้นนำมาเรียบเรียงให้อยู่ในเอกสารเพียงหน้าเดียว ซึ่งให้ข้อมูลชัดเจนกับทุกคนในองค์กร และต้องเป็นการปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง |