Section I จัดพอร์ตชีวิต..เพื่อพิชิตภาษี 1. จัด พอร์ตการศึกษา
โค้ด... กฎหมายภาษีของไทยให้หักลดหย่อนค่าการศึกษาของบุตรได้เพียงคนละ 2,000 บาท ต่อปีต่อคนเท่านั้น ช่างเทียบไม่ได้เลยกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ในอเมริกา ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากมายแก่รายจ่ายเพื่อการศึกษา
เนื้อเรื่อง พอร์ตชีวิต นั้น ... สำคัญไฉน ?
อ่านหนังสือ กล่องบุญ ของคุณแป้ง-ภัทริน ซอโสตถิกุล ซึ่งแนะนำแนวทางธรรมะ โดยดีไซน์แนวทางควบคุมเส้นทางชีวิตทางธรรมด้วยแผนที่บุญและบัญชีบุญแล้ว ผู้เขียนให้รู้สึกขัดเขินเล็กๆ ต่อการเขียนบทความ พอร์ตชีวิต (ทางโลก) ซึ่งเป็นเรื่องของการเวียนว่ายในสังสารวัฏ
แต่ผู้เขียนเชื่อว่าแนวชีวิต ทางโลก ต้องเดินคู่ขนานกับ ทางธรรม (Dual Track) เพราะหากเรายังจัดพอร์ตชีวิตไม่ได้ (พอร์ตการศึกษา, พอร์ตครอบครัว, พอร์ตธุรกิจ (และภาษี), พอร์ตการเงินและลงทุน, พอร์ตสุขภาพ ฯลฯ) โอกาสที่จะเกิดภูมิปัญญา และสามารถเจียดเวลา เพื่อพร้อมไปในทางธรรมคงเป็นไปได้ยาก
พอร์ตชีวิต เป็นเรื่องที่วางแผนจัดการได้ยากมาก เพราะมีตัวแปร (Uncontrollable Factors) หลายประการ เช่น ถ้าคุณพ่อคุณแม่จะวางแผนชีวิตให้ลูก ควรต้องเริ่มตั้งแต่แนวทางการเลี้ยงดูเมื่อเยาว์วัย ว่าอย่างไรจึงสร้างบุตรให้ดีพร้อมครบเครื่องตามที่วาดฝัน การจัด พอร์ตการศึกษา ซึ่งจะสัมพันธ์กับอาชีพการงานในอนาคต ในขณะที่ยังไม่ชัดเจนถึงความถนัดของลูก
พอร์ตการงานและธุรกิจ (รวมทั้งการบริหารภาษี) เป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะมีตัวแปรมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นด้านศักยภาพและโชควาสนา ผู้ร่วมงาน คู่แข่งขัน ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ฯลฯ
จะอย่างไรก็ตาม การที่มีการบริหารจัดการพอร์ตชีวิตอย่างเป็นระบบ แล้วทยอยปรับ (Adjust) ไปตามสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนไป ย่อมดีกว่าการปล่อยให้นาวาชีวิตล่องลอยไปโดยไร้ทิศทาง
ถ้าลองตั้งสมมติฐานว่า คนแต่ละคนมีกิจวัตรในแต่ละวันดังนี้
กิจกรรม |
เวลาที่ใช้ในแต่ละวัน |
- นอนวันละ
- ทานอาหารวันละ
- เดินทางวันละ
- ทำงานวันละ
- แต่งตัวอาบน้ำ
- อื่นๆ เช่น ดูทีวี และคุยโทรศัพท์ ฯลฯ
|
8 ชม. 3 ชม. 2 ชม. 8 ชม. 1 ชม. 2 ชม. |
คงสามารถสรุปเป็นเวลาในแต่ละอิริยาบท (Activities) ต่างๆ ได้คร่าวๆ ว่า
อิริยาบทและบทบาท |
เวลาที่ใช้ไปตลอดชีวิต (80 ปี) |
- นอน
- รอเติบโตกว่าจะรู้เดียงสา
- เรียนหนังสือ (ปริญญาตรี)
- ทำงานเลี้ยงครอบครัว
- เดินทาง
- แต่งตัว
- ดื่มกิน
- เที่ยว
- เลี้ยงหลาน / เข้าวัด / นอนเจ็บป่วย
|
27 ปี 3 ปี 7 ปี 15 ปี 7 ปี 3 ปี 10 ปี 4 ปี 4 ปี |
สมมติว่า ขณะนี้ท่านอายุ 30 ปี (จาก 80 ปี) หากคำนวณเป็นจำนวนวันที่เหลืออยู่ คิดได้เพียง 18,250 วัน (80 ปี คิดเป็น 29,200 วัน หักจำนวนวันที่ใช้ไปแล้ว 10,950 วัน) เท่านั้น
แต่..วางแผน พอร์ตชีวิต วันนี้ ยังไม่สาย!
การศึกษา ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดใน การสร้างคน
หากเราสามารถวางแผนการเรียนรู้และแผนการศึกษาของคนๆ หนึ่ง ตั้งแต่เกิดจนตาย โดยมีธงหรือเป้าหมาย และแผนที่ชีวิต (Roadmap) ชัดเจนว่า วิถีชีวิตและเส้นทางเดินทุกย่างก้าวจะไปในทิศใด อย่างไร จุดหมายปลายทางอยู่ที่ใด แน่นอนว่า บุคคลนั้นย่อมได้เปรียบและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงยิ่ง
ดังนั้น ความรู้ ความสามารถ และศักยภาพของพ่อแม่ จึงมีส่วนสำคัญต่อการปูโอกาสต่างๆให้แก่ลูก ยิ่งลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูง หน้าที่การงานดี และฐานะร่ำรวย จึงได้เปรียบมากกว่าลูกของผู้ด้อยโอกาส
จากตัวอย่างความสำเร็จแทบทุกด้านของตระกูล สารสิน เริ่มแต่คุณ พจน์ สารสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีลูกๆ ที่ล้วนจบการศึกษาจากต่างประเทศ และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทั้งยังมีวัตรปฏิบัติที่ดีมีคุณธรรม จริยธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคม อาทิเช่น คุณพงส์ สารสิน อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.เภา สารสิน อดีต รมว.มหาดไทย และอธิบดีกรมตำรวจ, คุณอาสา สารสิน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และปลัดกระทรวงต่างประเทศ, คุณบัณฑิต บุณยะปานะ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นต้น
แม้ล่วงมาถึงเจเนอเรชั่นลูกหลานในปัจจุบัน ยังล้วนเป็นนักธุรกิจที่เก่งและประสบความสำเร็จทั้งสิ้น เช่น คุณคริส สารสิน (ผู้บริหารโค้ก), คุณพาที สารสิน (ผู้บริหารนกแอร์) เป็นต้น
แน่นอนว่า การประสบความสำเร็จของบุคคลหรือครอบครัวหนึ่งๆ ย่อมเกิดจากการวางแผนที่ดี และมีวิสัยทัศน์สูง มิใช่เกิดขึ้นด้วยเพราะ ฟลุค หรือโชคช่วยอย่างแน่นอน
วางแผนการศึกษา เพื่อสร้างอภิชาตบุตร ศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่บอกให้สอนลูกตั้งแต่ตั้งครรภ์ ด้วยการเปิดเพลงบรรเลงคลาสสิกของโมสาร์ท/บีโทเฟนท์ฯ และให้หมั่นพูดคุยกับลูกในท้อง ให้ทำจิตใจเบิกบาน ทานอาหารคุณภาพ เป็นต้น
ตั้งแต่ลูกคลอดออกมา มักมีตำราสอนการเลี้ยงดู เช่น ตำราอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้สมองฉลาด ตำราของเล่น เพื่อสร้างสิ่งเร้ากระตุ้นให้กิ่งก้านสมองแตกแขนง-จะได้เก่งและฉลาดเหมือน อัลเบิร์ต ไอสไตน์ (Albert Eistein) ตำราชื่อ กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว เป็นการสอนเรื่องพฤติกรรมศาสตร์เพื่อสร้างทั้งไอคิว และอีคิว เป็นต้น
การลงทุนลงแรงเหล่านี้พ่อแม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งสิ้นในส่วนของรัฐบาล คงช่วยได้เฉพาะการให้บิดามารดาสามารถหัก ค่าลดหย่อนบุตร ได้เพียงไม่เกิน 3 คนๆ ละ 15,000 บาทต่อปี เท่านั้น (มาตรา 47 (1) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร)
ถือว่าน้อยมากหากเทียบเคียงกับในอเมริกา ซึ่งให้หักลดหย่อนบุตรได้คนละ 1,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 40,000 บาท) และยังยอมให้หักลดหย่อน ค่าจ้างคนเลี้ยงดูบุตร ได้อีก 2,100 ดอลลาร์ ต่อปี(ประมาณ 84,000 บาท)
เมื่อลูกโตขึ้น การวางแผนศึกษา และหาโรงเรียน ถือเป็นอีกหนึ่งความยาก เพราะต้องแย่งกันสอบเข้าตั้งแต่ ชั้นอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยม จนถึงการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นความผิดพลาด และล้มเหลวของโครงสร้างการศึกษาไทย เนื่องจากมาตรฐานของโรงเรียน และครูผู้สอน มีความแตกต่างกันมากถึงได้เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น
แม้แต่ระดับอุดมศึกษา ในปัจจุบันทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนได้เปิดหลักสูตรสารพัดปริญญาโท จนเกร่อไปหมด เข้าง่าย จบง่าย ประหนึ่งว่า ทุกแห่งได้หันมาทำธุรกิจการศึกษากันแล้ว น่าเป็นห่วงเสียจริง
พ่อแม่ที่มีสตางค์ ส่วนหนึ่งได้เริ่มเบนเข็มให้ลูกเข้าเรียนหลักสูตรนานาชาติ ซึ่งการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ มีตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมัธยม จนปัจจุบันมีการเปิดโรงเรียนนานาชาติกันเกร่ออีกเช่นกัน จึงต้องเลือกเฟ้นกันสัดนิด
ผู้เขียนใคร่ขอแนะนำให้เลือกหลักสูตร I.B. Diploma Programmeซึ่งสนับสนุนโดย UNESCO โดยมีจุดเด่นคือ ไม่โน้มเอียงไปทางชาติใดชาติหนึ่ง แต่จะดึงเอาจุดแข็งของทุกระบบในโลกมาผสมผสานอย่างลงตัว หลักสูตรดังกล่าวจึงเป็นที่ยอมรับเป็นสากลทั่วโลก และสามารถเทียบโอนหน่วยกิตให้เรียนระดับปริญญาตรี เพียง 3 - 3.5 ปี เท่านั้น หลักสูตร I.B. เปิดสอนในไทยหลายแห่ง เช่น NIST (UN-Related), สุขุมวิท ซอย 15, ISB ถนนแจ้งวัฒนะ, Bangkok Pattana เป็นต้น
ค่าเล่าเรียนของลูกกว่าจะจบปริญญาตรี นับว่าหนักหนาเอาการ แต่ปัจจุบัน กฎหมายภาษีของไทยให้หักลดหย่อนค่าการศึกษาของบุตรได้เพียงคนละ 2,000 บาท ต่อปีต่อคนเท่านั้น ช่างเทียบไม่ได้เลยกับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ในอเมริกา ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากมายแก่รายจ่ายเพื่อการศึกษา อาทิเช่น
- กรณีลาศึกษาต่อ สามารถหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายได้ถึง 1,500 ดอลลาร์(ประมาณ 60,000 บาท)ต่อไปไม่ว่าจะจ่ายเงินเองหรือกู้ยืมมาเรียนต่อก็ตาม (เรียกวิธี Hope Credit) นอกจากนั้น ยังสามารถหักลดหย่อนการศึกษาต่อแก่ตนเอง ภรรยา หรือบุตร ได้อีกปีละ 2,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 80,000 บาท) ซึ่งเรียกว่า Lifetime Learning Credit
- หักลดหย่อนค่าเล่าเรียนของตน ภรรยา และบุตร ได้ถึง 3,000 ดอลลาร์ (Tuition and Fee Deduction) กรณีมีเงินได้สุทธิต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
- หักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ถึง 2,500 ดอลลาร์ต่อปี - ยกเว้นภาษีการให้ (Gift Tax) สำหรับเงินบริจาคเพื่อการศึกษา - ยกเว้นภาษีเงินได้แก่ลูกจ้าง สำหรับเงินช่วยการศึกษาที่นายจ้างจ่ายให้ (5,250 ดอลลาร์ต่อปี แต่หากเกี่ยวข้องตรงกับงานจะยกเว้นโดยไม่จำกัดเพดาน)
แผนภูมิ..การศึกษาของบุตร
การมีแผนภูมิ (Roadmap) การศึกษาตลอดอายุขัย ประดุจมีเทียนชัยนำทางสว่างให้ราบรื่นตลอดเส้นทาง ชีวิต
- Saint Augustine กล่าวว่า The world is a book, and those who do not travel read only one page แปลได้ว่า การเดินทางท่องเที่ยวคือการเรียนรู้ ผู้อยู่กับที่ประดุจอ่านตำราได้เพียงแผ่นเดียว
สรุปสั้นคือ ผู้ที่อ่านมาก เห็นมาก ประสบการณ์มาก ย่อมได้เปรียบในทุกสมรภูมิ
-
เส้นทางการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงอุดมศึกษา (และปริญญาโท/เอก) หรือการวางแผนไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ย่อมประหนึ่งเป็นการสร้างฐานรากปัญญาที่มั่นคง ให้บุตรสามารถต่อยอดอนาคตของตนได้อย่างง่ายดายยิ่ง |