กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
Q....ดิฉันชื่ออัมพรค่ะ ดิฉันและสามีเป็นเภสัชกร อายุ 34 และ 35 ปีมีลูก 2 คน เริ่มเก็บเงินตั้งแต่ทำงานเดือนแรก ไม่ว่าจะเงินเดือนเพิ่มขึ้นเท่าไร เราจะใช้จ่ายเท่าเดิมค่ะ จนตอนนี้มีเงินเก็บอยู่ 3 ล้านบาท ซึ่งแผนจะนำไปร่วมหุ้นทำรีสอร์ทเล็กๆ ริมทะเลกับคุณแม่และน้องชายทั้งหมด และมีกิจการส่วนตัว (ร้านขายยา) ทั้งหมด 4 ร้าน
ขณะนี้ มีเงินเหลือเก็บต่อเดือนประมาณ 120,000 ถึง 150,000 บาท จึงตัดสินใจซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมไว้ ซึ่งปกติเป็นครอบครัวที่ไม่มีหนี้สินเลยค่ะ ดิฉันผ่อนบ้านและคอนโดเดือนละ 60,000 บาท ก็จะเหลือเก็บเป็นเงินสดอีกอย่างน้อย 50,000 บาทต่อเดือน และมีประกันชีวิตที่ทำไว้ 10 ปีที่แล้ว จ่ายประมาณ 60,000 บาทต่อปี เหลืออีก 10 ปี จึงจะครบกำหนด และเงินฝากสำหรับลูก อยากขอคำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนการออมของครอบครัวดิฉันด้วยค่ะ ส่วนเงินสดที่เก็บไว้ทั้งหมดที่จะนำไปลงทุน 3 ล้านบาท สมควรหรือไม่คะ
A.....คุณอัมพรและครอบครัวมีวินัยในการใช้จ่ายเงินเป็นอย่างดีมากค่ะ เพราะไม่ว่าเงินเดือนจะเพิ่มเท่าไรก็ยังใช้จ่ายเงินเท่าเดิม เพราะส่วนใหญ่เราจะได้ยินลักษณะว่าใช้เงินเกินตัว หรือยิ่งหาได้มาก ก็ยิ่งใช้มาก จนไม่เหลือเก็บ อะไรทำนองนี้มากกว่า
1. การวางแผนการเงินของครอบครัว มีหลักการกว้างๆ ตามนี้นะคะ
หนี้สิน เราควรจะปลดหนี้สินให้หมดในระยะเวลาที่เร็วที่สุด ในกรณีของคุณอัมพรไม่มีหนี้สินอื่นใด ยกเว้นเงินกู้ซื้อบ้านและคอนโด ซึ่งในแต่ละเดือนคุณมีเงินเหลือเก็บอยู่แล้ว ดิฉันคิดว่าน่าจะผ่อนชำระในแต่ละงวดให้มากขึ้นสัก 10-20% จะทำให้ระยะเวลาในการผ่อนสั้นลง และเป็นการประหยัดเงินค่าดอกเบี้ยให้น้อยลงไปด้วยค่ะ
เงินสดสำรองฉุกเฉิน คุณและครอบครัวต้องมีเงินสดสำรองฉุกเฉิน เท่ากับค่าใช้จ่ายของครอบครัวในแต่ละเดือนคูณด้วย 6 เท่า ซึ่งคิดว่าคุณคงมีเงินในส่วนนี้อยู่แล้ว อาจจะแยกออกมาเปิดเป็นบัญชีต่างหากจากบัญชีประเภทออมทรัพย์ปกติที่ใช้อยู่ จะได้เห็นชัดเจนว่า เงินส่วนนี้คือเงินสำรองฉุกเฉินของครอบครัว ปกติเราจะไม่นำเงินส่วนนี้มาใช้จ่ายประจำวัน นอกจากเวลาและเหตุการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น
ประกันชีวิต คุณและสามีเป็นหัวหน้าครอบครัว มีลูก 2 คน การมีประกันชีวิตเป็นสิ่งที่ดี ไม่ทราบว่าลูกทั้งสองคนอายุเท่าไร ประกันชีวิตของคุณควรจะครอบคลุมไปจนลูกทั้งสองอายุเกิน 20 ปี เมื่อลูกอายุเกิน 20 ปีแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำประกันชีวิต เพราะเขาโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว
การลงทุน ของคุณ (และที่กำลังจะไปลงทุน) อยู่ในบ้านและที่ดินเกือบทั้งหมด การลงทุนที่ดีควรจะมีการกระจายความเสี่ยงให้หลากหลาย นอกจากลงทุนในบ้านและที่ดิน อาจจะพิจารณาการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวม เพราะมีสภาพคล่องดีกว่าการลงทุนในที่ดินอย่างเดียว ศึกษาวิธีการลงทุน พิจารณาระดับการยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนของตัวเอง อาจลงทุนในลักษณะเฉลี่ยต้นทุน ( Dollar Cost Average)
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณต้องการลงทุน 12,000 บาท ในหุ้นหรือกองทุนหนึ่ง แทนที่จะนำเงินจำนวนนั้นไปซื้อทั้งหมด วิธีการลดความเสี่ยงด้านราคา ก็คือการซื้อแบบเฉลี่ยต้นทุน โดยการแบ่งเงินลงทุนเป็น 12 งวด และเข้าทำการซื้อหุ้นหรือกองทุนนั้นทุกวันที่ 1 ของเดือนเป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท คุณก็จะได้ค่าเฉลี่ยของราคา ดิฉันคิดว่าการลงทุนในกองทุนเป็นการลงทุนที่ดี ให้สภาพคล่องมากกว่าการซื้อที่ดินอย่างเดียว แต่ถ้าราคาหุ้นหรือกองทุนมีความผันผวนมากเกินไป ไม่เหมาะกับตัวเรา เพราะเราไม่ชอบความเสี่ยงหรือการลงทุนที่หวือหวาจนเกินไป ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าลงทุนค่ะ การลงทุนที่ดีที่สุด คือการลงทุนที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่สุด ไม่ใช่การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเสมอไป
เงินเกษียณอายุ เงินเก็บไว้กินตอนแก่หลังเลิกทำงาน คุณควรจะมีเงินเก็บในส่วนนี้ไว้ด้วย เก็บไปสม่ำเสมอทุกเดือน อาจจะแยกเป็นอีกบัญชีหนึ่งก็ได้ให้รู้ว่านี่คือเงินเกษียณของเรา
2. การนำเงินเก็บทั้งหมดไปร่วมลงทุนในธุรกิจรีสอร์ทกับครอบครัว ต้องพิจารณาแผนในการลงทุน ประสบการณ์ และความสามารถในการบริหารกิจการของคุณและครอบครัว แต่การนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในลักษณะนี้ ต้องคำนึงถึงเรื่องสภาพคล่องของเงินด้วย ต่อเมื่อคุณวางแผนการเงินของครอบครัวตามข้อหนึ่งได้ครบหมดแล้ว
และเงินส่วนนี้เป็นเงินเย็นจริงๆ แน่ใจว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินนี้ในระยะเวลาอันใกล้ และครอบครัวคุณมีความสามารถในกิจการประเภทนี้จริงๆ มีระยะเวลาและแผนการลงทุนที่ชัดเจน ได้ผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่น่าพอใจ ก็สามารถทำได้ แต่อย่าลืมว่า ต้องบริหารสภาพคล่องด้านเงินสดให้ดีด้วยค่ะ