แพ็กเกจดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
นายวิเทียน นิลดำประธานสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย ความสำคัญของแฟชั่นเครื่องแต่งกายสินค้า ซึ่งเรียกว่าบรรจุภัณฑ์ หรือแพ็กเกจจิ้ง คือการรวมตัวของศาสตร์ที่หลากหลาย ทั้งสถาปัตย์ วิศวะ การตลาด และนิเทศ เพื่อสื่อให้สิ่งของน่าจับต้อง สะดุดตา จนกระทั่งจดจำ เพื่อให้เกิดการซื้อต่อเนื่อง (คิดก่อนแล้วว่าจะซื้อ ) สิ่งเหล่านี้คือเรื่อง Smart
เมื่อธุรกิจขยายสู่ตลาดต่างอำเภอ ต่าง- จังหวัดและประเทศ ฉะนั้นจึงต้องปรับปรุงสิ่งที่จะประคับประคองบรรจุภัณฑ์ เพื่อทำหน้าที่รักษาคุณภาพของสินค้าให้คงอยู่นานเท่าที่ควรจะเป็น และเดินทางถึงปลายทางผู้บริโภคอย่างดี อยู่ในสภาพปกติ โดยคำนึงถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่จะรักษาเป็นสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะที่บรรจุภัณฑ์ต้องมี เช่น การคงสีสัน รสชาติ รูปลักษณ์ เป็นต้น
สมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย มีบทบาท ในการเป็นพี่เลี้ยง หรือโค้ช กระตุ้นในภาคการแต่งตัว เพื่อออกไปสู่ระดับโลก โดยให้ความช่วยเหลือ คำแนะนำ ความรู้ และคำปรึกษาต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านเอสเอ็มอี ผ่านการอบรมและสัมมนาด้าน บรรจุภัณฑ์กับกระทรวงต่างๆ
ที่ผ่านมา โอท็อปให้แนวคิดพัฒนาทั้ง ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ควบคู่ ตัวเลขซื้อขายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว อยู่ที่ 200 กว่าล้านบาท ในปี 2547 เป็น 40,000 ล้านบาท และตั้งเป้าในปี 2548 สูงขึ้นไปเป็น 48,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อคิดถึงความสำคัญของบรรจุ- ภัณฑ์นั้น สามารถดูได้จากมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในปี 2547 เป็นจำนวน 97,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.9 ล้านล้าน- บาท คิดเป็นมูลค่าบรรจุภัณฑ์จากร้อยละ 3-16 คิดในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 5 สามารถเพิ่มมูลค่าได้มากกว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าแฝง
โดยหลักการคำนวณทั้งภายในและ ภายนอกบรรจุภัณฑ์ ด้วยข้อมูลที่ทำการสำรวจคือ ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ต่ออาหารบรรจุกระป๋องอยู่ที่ร้อยละ 16-17 จากมูลค่าส่งออก รองลงมาร้อยละ 12 คือสินค้าผักผลไม้สด เครื่องนุ่งห่ม นอกจากนั้นยังมีบรรจุภัณฑ์ที่ต่ำกว่านั้น แต่อยู่ในรูปแผง อย่างรถยนต์
ฉะนั้นเพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด โลก พร้อมการเพิ่มมูลค่าสินค้าไปในตัว ต้องคิดว่าในการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ ไม่ใช่เพียงการเพิ่มการลงทุน แต่เป็นการเพิ่มผลกำไรในส่วนต่างด้วย
ทิศทางเติบโตของผู้ประกอบการ ได้แก่ การคำนึงถึงสินค้า และบรรจุภัณฑ์ ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ 4C (Consumer, Cost, Convenience, Communication) พร้อมกับวิจัยกลุ่มลูกค้า ดูเทรนด์การบริโภค ซึ่งมีแนวโน้มรวดเร็ว สะดวก และทันสมัย (Single Serve) มีความปลอดภัยในระดับสากล ไม่ควรลืมเครื่องหมายระบุมาตรฐานสินค้า
ตลอดจนการศึกษากฎหมายและกฎข้อ บังคับของพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากเมื่อเกิดปัญหา นอกจากจะทำให้สินค้าที่ส่งออกเสียหาย ไม่ได้ทั้งทุนและกำไร ยังอาจทำให้ชื่อเสียง พัง ยากที่จะกู้คืนในเวลาอันสั้น และต้องใช้งบประมาณสูง
บสย.ที่พึ่งด้านการเงิน
นายทวีศักดิ์ ฟุ้งเกียรติเจริญ รรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หน้าที่หลักของ บสย.คือ ทำหน้าที่เป็นหลักประกันให้กับผู้ประกอบการในเรื่องแหล่งเงินทุนกับสถาบันการเงินต่างๆ เนื่องจากการขอวงเงินจากสถาบันการเงินจะอนุมัติให้ไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ หรือขอสินเชื่อที่เกินจากหลักทรัพย์
ทางบสย.จึงเข้าไปสนับสนุนวงเงินใน ส่วนที่เหลือให้กับผู้ประกอบการ โดยทางบสย.จะออกเป็นหนังสือค้ำประกัน เพื่อนำไปขอวงเงินในส่วนที่เหลือ และพยายามที่จะแก้ไขเรื่องขอการออกหนังสือค้ำประกันจากเดิมที่มีความล่าช้า จากเป็นเดือน ให้เหลือเพียง 5 วัน แต่ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเองจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของเอกสาร
ประกอบกับในภาวะปัจจุบันมีปัจจัย ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทั้งราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลกระทบกับผู้ประกอบการที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้น้ำมัน และแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวสูงขึ้น ถ้าดอกเบี้ยขึ้นต้นทุนของผู้ประกอบการก็จะขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับสภาวะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และป้องกันการเกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)
ปัญหาหลักที่ผู้ประกอบการพบคือปัญหาในเรื่องของการส่งออก ซึ่งเจ้าของกิจการจะต้องเรียนรู้วัฒนธรรม ข้อกฎหมายของแต่ละประเทศให้ถี่ถ้วน สถานที่ตั้ง (โลเกชัน) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ
ปัญหาเหล่านี้สามารถที่จะปรึกษากับ หน่วยงานราชการที่มีอยู่ เช่น สสว.จะช่วยในการพัฒนาสินค้า กลยุทธ์ทางการตลาด เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น เพื่อมีความรู้ใน การสร้างธุรกิจให้เกิดความอยู่รอด
6 กลยุทธ์นำ SMEs ฝ่าศก.ขาลง
นายชลิต ลิมปนะเวช ณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เชี่ยวชาญด้านการตลาด ในอดีตผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องกู้เงินธนาคารเพื่อสานต่อธุรกิจในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 17-18 แต่ปัจจุบันมีช่องว่างทางการตลาด และโอกาสมากขึ้นประเทศที่เจริญแล้วร้อยละ 80-90 คือภาคเอกชนขับเคลื่อนรัฐ
ทั้งนี้ SMEs ไทย ต้องพร้อมปรับตัวให้ทันกระแสโลกาภิวัตน์ และสถานการณ์ขอบเขตการค้าเสรี (FTA) และตัวแปรปัจจัยภายนอกอย่างน้ำมัน รวมทั้งอัตราดอกเบี้ย ที่อาจเพิ่มขึ้นไม่ถึงร้อยละ 10 ในปี 2549
มียุทธศาสตร์ 6 ประการ ในยุคเศรษฐกิจกำลังตกต่ำ ได้แก่
1.การสร้างความต่างของสินค้าด้วย บรรจุภัณฑ์ (Product Differentiation) เพื่อสร้างการเพิ่มมูลค่า (Value Creation)
2.สร้างพันธมิตรทางธุรกิจด้วยกัน (Win-Win Solution) เอื้อลดภาวะการขาดทุนในส่วนที่ไม่เชี่ยวชาญ
3.พิจารณาหลักการลงทุนคุ้มค่า ทรง ประสิทธิภาพสูง พัฒนาผลผลิตให้เพิ่มพูนมากขึ้นในขณะที่ยังใช้แรงงานเท่าเดิม อาทิปรับแต่งเครื่องจักรใหม่ที่สามารถเพิ่มผลผลิตได้ 2 เท่าตัว เป็นต้น
4.คำนึงการตลาดผ่านหลักการสร้าง สัมพันธ์ลูกค้า (CRM) เนื่องจากการหาลูกค้าใหม่ต้องใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 6 เท่าตัวจากการรักษาฐานลูกค้าเก่า ควรยึดเกาะลูกค้าประจำให้แน่น ที่มีสัดส่วนถึง 3 ใน 10 ของผู้บริโภคทั้งหมด
5.การเงินการบัญชี เริ่มต้นค้นคว้า หลักทฤษฎีการตลาดที่ช่วยควบคุมการเงินให้เป็นระบบ ตลอดจนเรียนรู้เข้าอบรมหลักสูตรการบัญชี บริหารลูกหนี้ และการหมุนเวียนเงิน
6.นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ ใช้ หวังสอดรับการใช้ทรัพยากรไฮเทคทวีตัว
ทั้งนี้ การตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2548 คาดคนไทยจะใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า 30 ล้านเครื่อง พร้อมมีนโยบายการส่งดาวเทียมตัวที่สาม สู่การเป็น Broadband Society ตลาดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงถึง 45 เมกะวัตต์ หรือ 10 เมกะบิต/เซ็กชัน ส่งสัญญาณสู่ผู้ประกอบการควรเปลี่ยนช่องทางการค้า มองการทำตลาดบนเว็บไซต์ เรียนรู้การตลาดผ่านอีคอมเมิร์ซ
ความก้าวหน้าของเอสเอ็มอี ต้องวาง ยุทธศาสตร์ของตนเองก่อน ซึ่งรัฐจะสานต่อนโยบายเพื่อเอื้อต่อการเติบโตผ่านงบประมาณส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกันพยายามผลักดัน เยาวชนในรั้วมหาวิทยาลัยให้ก้าวสู่การเป็นเถ้าแก่ ผ่านโครงการบ่มเพาะ (UBIs) แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ วิทยากรยังไม่รู้ครอบคลุมในด้านการตลาด อาจรู้เพียงด้านบรรจุภัณฑ์และสินค้า แต่ผู้ประกอบการเองควรเข้าหากรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือกรมส่งเสริมการส่งออก
การจะขายสินค้าคือ การพิจารณาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และสื่อพลังด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร 360 องศา ต้องคิดคอนเซ็ปต์ ของสินค้า ต่อด้วยการแต่งตัว
อย่างไรก็ตาม การขจัดปัญหาค่าแรง คนคิดสร้างสรรค์ บรรจุภัณฑ์ราคาต่ำ เหตุเพราะบรรดาเจ้าของธุรกิจยังมองไม่เห็นคุณค่าของสินค้าไอเดีย รวมทั้งเกิดคู่แข่ง โรงพิมพ์ที่คิดค่าจ้างรวมเบ็ดเสร็จ ฉะนั้นจึงต้องแก้ไขด้วยการนำเสนอ คอนเซ็ปต์สินค้าให้ชัดเจน จูงใจ อธิบายรายละเอียด ค่าใช้จ่ายสอดคล้องกับการทำงาน
นอกจากนั้น ควรจ้างมือประชาสัมพันธ์ ที่ดี เพื่อให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ ขึ้นอยู่กับสไตล์ของผู้ประกอบการเอง (Marketing Arm) สร้างแบรนด์โดยคำนึงการตอกย้ำ พิจารณาจากพฤติกรรมของตนเองแบบเป็นกลาง เมื่อไม่ได้พื้นความรู้ของสินค้านั้น จะหยิบจับสินค้าที่รูปลักษณ์ก่อน รวมถึงการสื่อภาพ ความเป็นไทยก็สำคัญ
การสร้างแบรนด์ ดูได้จากตัวตน พนักงานด้านครีเอทีฟ ลงลึกถึงเจ้าของกิจการ ร่วมกับการสร้างบุคลิกภาพ เรียนรู้ความเป็นผู้นำ แนะนำให้เข้าร่วมฟังสัมมนา พร้อมดึงนักวิชาการต้องเติมแต่งภูมิรู้ เสาะหา และแลกเปลี่ยน อีกทั้งคนไทยยังต้องแน่วแน่กับการผลิตงานเสร็จแล้วขายให้เป็น ไม่ใช่ การลอกเลียนแบบ
นอกจากนั้น ยังมีทิศทางสร้างการตลาดแนวใหม่ด้วยกลวิธี 4C ซึ่งประกอบด้วย 1.การคำนึงถึงผู้บริโภค (Consumer) 2.Cost ลดต้นทุน โดยมีปัจจัยเรื่องผู้ผลิต การ ขนส่ง ซึ่งสามารถลดได้ถึงร้อยละ 25-50 3.ความสะดวกสบาย สินค้าดูพฤติกรรมโดยรวมของสังคม (Convenience) และ 4.การสื่อสาร (Communication) ทั้งช่องทาง และกรรมวิธีในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ที่ปรึกษาด้านการส่งออก
นางพรรณี สุทธิวารี ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักการส่งเสริมการส่งออก กรมส่งเสริมการส่งออก การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ปัจจัยหลักอยู่ที่บุคลากร ซึ่งทางกรมมีการจัดอบรม สัมมนาต่างๆ มากกว่า 100 ครั้ง เพื่อยกระดับของผู้ประกอบการ จากการฝึกอบรมบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการทำงาน และยกระดับของคุณภาพสินค้า โดยผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านเครื่องนุ่งห่มสิ่งทอ ของขวัญ และด้านอื่น มาช่วยในการแนะนำให้กับผู้ประกอบการ
รวมทั้งกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้ เนื่องจากข้อกฎหมายของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน จะส่งผลต่อกระบวนการผลิต เพราะต้องรู้ว่าแต่ละประเทศมีข้อห้ามอะไร จะได้ผลิตได้ตรงตามความต้องการของประเทศนั้นๆ
นอกจากนี้ยังมีทีมอินเตอร์เทรดเพื่อ ช่วยผู้ประกอบการในการส่งออก ซึ่งทำหน้าที่ในการบุกตลาดต่างประเทศ ใช้รูปแบบ เอ็กซ์พอร์ต แรลลีโดยไปจัดโรดโชว์ผลิตภัณฑ์ตามเมืองต่างๆ เพื่อสร้างสีสันให้การเดินทางไปแสดงสินค้าไม่เคร่งเครียดและสร้างความสนุกสนาน และยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเดินทางไปโรดโชว์สินค้าได้ด้วย ซึ่งได้ผลสัมฤทธิ์ที่ดี
องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่าง คือการ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ (Package) สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้าได้ด้วย ซึ่งบางครั้งผู้ประกอบการมองข้าม มองว่าเป็นการเพิ่ม ของต้นทุน
?ทางกรมส่งเสริมการส่งออก มีสำนัก- พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำหน้าที่แนะนำว่าสินค้าเหมาะกับประเทศไหนและควรมีการพัฒนาอย่างไร แม้กระทั่งรูปทรงก็จะมีผลต่อการ ขนส่ง เนื่องจากการส่งแต่ละประเทศต้องอาศัยระยะเวลา อาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้
?หากไม่มีความรู้และขาดการแนะนำ ที่ถูกต้องให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งการสร้างบรรจุภัณฑ์จะเป็นการรักษาอายุของสินค้าและยังสร้างรูปลักษณ์ที่ทันสมัย เสริมให้ ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในมาตรฐานของสินค้ามากขึ้น?
อย่างไรก็ตาม ทางกรมส่งเสริมการ ส่งออก รัชดาฯ มีห้องสมุดให้ผู้ประกอบการเข้าไปศึกษาหาความรู้ในเรื่อง การค้าต่างๆ ซึ่งมีตัวอย่างและผลการวิจัยต่างๆ รายชื่อผู้ประกอบการ เพื่อให้ติดต่อขอความรู้ซึ่งกันและกัน
ส่วนการจัดงานแสดงสินค้าทางกรมก็ มีการจัดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีเพื่อให้ผู้ค้าได้แสดงสินค้า กับลูกค้าในและต่างประเทศ เช่น งาน BIG&BIH เป็นต้น