คดีภาษีขึ้นศาลภาษีอากรกลางพุ่ง เผยสถิติทุนทรัพย์ที่ขึ้นสู่กระบวนการศาลทั้งปี 2549 เทียบปี 2548 เพิ่มขึ้นเกือบ 100 % โดยเฉพาะคดีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม วงในเผยเหตุทางการเร่งตามจับใบกำกับภาษีปลอม ด้านอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางชี้ต้องมีมาตรการจริงจังจัดการกับผู้เลี่ยงภาษี ขณะที่"ศานิต ร่างน้อย" ยอมรับติดตามยึดทรัพย์และบังคับคดีได้ไม่มาก
นอกจากผลกระทบภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จะส่งผลต่อเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายจัดเก็บ 1.42 ล้านล้านบาทในปีงบประมาณ 2550 แล้ว ยังพบว่าคดีที่ขึ้นสู่ศาลภาษีอากรกลางและเป็นคดีที่มีการฟ้องร้องใหม่มีจำนวนเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบจากข้อมูลล่าสุดในปี 2549 กับปี 2548 หรือทุนทรัพย์รวมตั้งแต่เดือนมกราคม 2549- ธันวาคม 2549 มีจำนวน 5,523,426,014.01 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีทุนทรัพย์รวม 2,825,785,933.78 บาท หรือคิดเป็นมูลค่าทุนทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น 95.46 %
โดยในปี 2549 มูลค่าของทุนทรัพย์แยกตามประเภทของคดีที่ขึ้นสู่ศาลภาษีอากรกลาง ประกอบด้วย
คดีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีจำนวนทุนทรัพย์รวมทั้งสิ้น 90,667 ล้านบาท คดีภาษีเงินได้นิติบุคคล ทุนทรัพย์รวม 1,910.36 ล้านบาท และคดีภาษีมูลค่าเพิ่ม ทุนทรัพย์รวม 1,045.49 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของคดีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ฟ้องใหม่ในปี 2549 มีจำนวนสูงกว่าปี 2548 ที่มีมูลค่าทุนทรัพย์ 640.18 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีคดีที่ฟ้องใหม่ในปี 2549 ที่มีทุนทรัพย์เพิ่มจากปี 2548 เช่น พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน มูลค่าทุนทรัพย์ 294.66 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มีมูลค่าทุนทรัพย์ 48.99 ล้านบาท (คดีภาษีอื่นๆดูรายละเอียดคดีและทุนทรัพย์ที่ฟ้องใหม่ในปี 2548 และปี 2549 จากตารางประกอบ)
นางปาริชาติ ภู่สำรวจ อธิบดีผู้พิพากษา ศาลภาษีอากรกลาง เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในระยะ 3 เดือนแรกของปี 2550 มีทุนทรัพย์ของคดีที่ขึ้นสู่ศาลภาษีอากรประมาณ 800 ล้านบาทเศษ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีทุนทรัพย์ประมาณ 366 ล้านบาทเศษ โดยในปีนี้คดีที่มีทุนทรัพย์สูงสุด เป็นคดีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุนทรัพย์ 445 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมของจำนวนทุนทรัพย์หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจากคดีที่ขึ้นสู่ศาลภาษีอากรกลางนั้น สะท้อนให้เห็นปัญหารั่วไหลของเงินภาษี ซึ่งสามารถนำเงินดังกล่าวไปใช้เพื่อการพัฒนาหรือสร้างสาธารณประโยชน์ได้
"ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีนิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากเป็นภาษีที่จัดเก็บอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งการเพิ่มขึ้นของคดีที่ขึ้นศาลฯเป็นเครื่องชี้ได้ว่ามีการดำเนินการเร่งรัดคดีและฟ้องคดีเข้ามา ซึ่งโอกาสที่จะตามคืนนั้น ในทางปฏิบัติ ศาลภาษีอากรกลาง เป็นเพียงตัวกลางในการให้ความยุติธรรมระหว่างผู้จัดเก็บภาษีและประชาชนหรือผู้เสียภาษี ไม่สามารถดำเนินการยึดทรัพย์หรือบังคับคดีได้ โดยปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะยังไม่มีกฎหมายหรือระเบียบ หรือคำพิพากษาที่รองรับหรือคุ้มครองข้าราชการที่ดำเนินการไปแล้วเกิดความผิดพลาด ทำให้ข้าราชการผู้ปฎิบัติงานกลัวความผิดย้อนหลัง"
ดังนั้นในปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างการหารือร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะสร้างระเบียบหรือกฎที่สามารถคุ้มครองข้าราชการ รวมถึงการเจรจาที่ยังไม่ดีพอ เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานจัดเก็บของรัฐยังมีปัญหาเรื่องการยอมความ ซึ่งอำนาจเหล่านี้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานต้นสังกัดที่จะกำหนดกรอบการเจรจาเพื่อยอมความ
ส่วนกรณีของหน่วยจัดเก็บภาษีที่มีอำนาจในการติดตามยึดทรัพย์หรือบังคับคดี แม้ว่าจะมีอำนาจตามกฎหมายให้ดาบเรื่องการยึดทรัพย์ แต่กรมสรรพากรก็ไม่ได้ใช้อำนาจดังกล่าว ทำให้กระบวนการดำเนินการกว่าที่เรื่องจะขึ้นสู่ศาล กระบวนการที่ศาลพิจารณาตัดสิน อาจทำให้คู่ความเปลี่ยนคนไปแล้ว กลายเป็นว่าเอาพนักงานหรือลูกจ้างเข้ามารับแทน ขณะที่ผู้บริหารรายเดิมเปลี่ยนแปลงไปทำธุรกิจใหม่แล้ว ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวแล้ว เห็นว่าหากมีผู้ที่เลี่ยงภาษีจริง และมีทุนทรัพย์หรือความเสียหายที่เกิดขึ้น จำเป็นต้องมีมาตรการจริงจังเพื่อดำเนินการให้ทรัพย์สินนั้นสามารถบังคับคดีได้จริง ไมใช่ออกมาในรูปของคำพิพากษา แต่ไม่มีตัวทรัพย์หรือไม่สามารถบังคับจัดเก็บภาษีได้
อธิบดีผู้พิพากษา ศาลภาษีอากรกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอดีตการฟ้องคดีส่วนใหญ่รัฐจะเป็นผู้ฟ้องผู้ประกอบการ แต่ในระยะหลังมีผู้ประกอบการที่ฟ้องกลับรัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากการตีความในการจัดเก็บภาษี ที่ทำให้ผู้ประกอบการเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรมในการจัดเก็บภาษี หรือบางรายที่มีเจตนาที่จะเลี่ยงภาษีอยู่แล้ว ทำให้คาดหวังว่าหากคดีขึ้นสู่กระบวนการทางศาลฯ อาจมีโอกาสที่จะทำให้ผู้ประกอบการรายนั้นๆไม่ต้องเสียภาษีก็ได้ เป็นต้น
สำหรับ แนวทางในการดำเนินการของศาลภาษีอากรกลางในปีนี้จะเน้นนโยบายทั้งเชิงรับและเชิงรุก โดยในส่วนของนโยบายเชิงรุก จะเน้นที่ความรวดเร็วและความเป็นธรรมหลังจากที่คดีเข้าสู่กระบวนการของศาล เพราะความล่าช้าถือว่าเป็นการปฏิเสธความยุติธรรมส่วนหนึ่ง เนื่องจากคดีภาษีมีลักษณะพิเศษ คือ ต้องใช้เวลาในการพิจารณา และมีขั้นตอนในการประสานงานกับคู่ความ ซึ่งโดยปกติหากเป็นคดีที่ไม่มีความซับซ้อนจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน
นอกจากนี้ ยังเป็นการดำเนินการต่อจากระยะ 2 ปีที่ผ่านมา ในแง่ของการให้ความรู้ สิทธิ หน้าที่ของผู้เสียภาษี ภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการทั่วประเทศ รวมทั้งหน่วยจัดเก็บภาษี ซึ่งบางส่วนไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้โดยตรง เพื่อมิให้การจัดเก็บผิดพลาดจนกลายเป็นคดีขึ้นศาลฯ ซึ่งต้องเสียเวลาในการพิจารณากว่าจะถึงกระบวนการที่ศาลจะชี้ขาด ในขณะเดียวกันประชาชนต้องมีความตื่นตัวในหน้าที่เสียภาษี เพราะเป็นรายได้ของแผ่นดินที่จัดเก็บมาเพื่อพัฒนาประเทศชาติ
แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร กล่าวถึง แนวโน้มของคดีที่คาดว่าจะขึ้นสู่กระบวนการของศาลภาษีอากรกลางว่า จากการที่กระทรวงการคลังสั่งการกรมศุลกากรและกรมสรรพากรร่วมกันกำหนดนโยบายควบคุม ตรวจสอบผู้ประกอบการที่ทุจริตสำแดงราคาสินค้านำเข้าต่ำกว่าความเป็นจริง วางมาตรการเด็ดขาดกับผู้กระทำผิด หลีกเลี่ยงภาษีอากร ทั้งในเรื่องการสำแดงราคาต่ำ หรือการหลีกเลี่ยงภาษีอากรประการใดก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการที่สุจริต และเพื่อผลประโยชน์ในการจัดเก็บรายได้ของประเทศ กระบวนการดังกล่าวจะทำให้คดีภาษีในส่วนของกรมศุลกากรที่จะเข้าสู่กระบวนการศาลภาษีอากรกลาง
ขณะที่นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวกว่า คดีที่ขึ้นสู่ศาลภาษีอากรกลางเพิ่มขึ้น แสดงว่าหน่วยงานที่จัดเก็บภาษีเร่งทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ยังมาจากสาเหตุที่เป็นคดีที่มีข้อโต้แย้งกันทำให้ต้องส่งให้ศาลฯเป็นคนตัดสิน แต่ที่ผ่านมายอมรับว่าถึงแม้ว่าจะมีการติดตามยึดทรัพย์ แต่ก็ยังทำได้ไม่มากนัก
|