ช่วยชาติง่ายๆ ด้วยการซื้อกองทุนLTF
สรวิศ อิ่มบำรุง
ในมุมมองของประชาชนทั่วไปที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว "กองทุนรวมหุ้นระยะยาว" หรือ "Long Term Equity Fund : LTF" อาจจะเป็นเพียงแค่เครื่องมือหนึ่งในการที่จะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้เท่านั้น
แต่ภารกิจหลักที่ยิ่งใหญ่ และท้าทายของกองทุน LTF ในมุมมองของประเทศชาติ คือ การสร้าง "เสถียรภาพ" ให้เกิดขึ้นกับตลาดทุนไทย ตาม "แผนพัฒนาตลาดทุนไทย" นั่นเอง
ด้วยการเพิ่มสัดส่วน "นักลงทุนสถาบันในประเทศ" ที่มีคุณภาพให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน เพื่อจะทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่ "ผันผวน" ตามแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนรายย่อยมากจนเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดเสถียรภาพในระบบตลาดทุนไทยในที่สุด ซึ่งจะช่วยเพิ่ม "เสน่ห์" ให้กับตลาดหุ้นไทยไม่มากก็น้อย
คุณจะมีส่วนร่วมในการสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้นไทยได้อย่างไร Fundamentals สัปดาห์นี้ มีคำตอบมาฝาก
................................
ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เฉพาะการสร้างตลาดหุ้นไทยเท่านั้นที่ท้าทาย การจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพ ก็เป็นงานที่ท้าทายไม่แพ้กัน เพราะวัฒนธรรมการออม และการลงทุนของคนไทยส่วนใหญ่ ยังคงเคยชินกับการฝากเงินไว้กับธนาคาร ในส่วนของอุตสาหกรรมกองทุนรวมเองก็ไม่แตกต่างกันมากนัก จากตัวเลขล่าสุด (25 ส.ค.49) พบว่า มีเม็ดเงินลงทุนสุทธิ(ไม่นับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กอง 2 ,3 และ4 และกองทุนรวมที่ระดมทุนจากต่างประเทศ)ในระบบกองทุนรวมทั้งสิ้น 917,529.58 ล้านบาท ซึ่งเล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน และในจำนวนนี้เป็นกองทุนรวมหุ้นอยู่ประมาณ 72,308.32 ล้านบาท หรือประมาณ 7.88% ของอุตสาหกรรมกองทุนรวมเท่านั้น
"การจะดึงคนส่วนใหญ่เพื่อเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นผ่านกองทุน LTF ซึ่งเป็นกองทุนที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นโดยตรงนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก และอาจจะต้องใช้เวลาจึงจะเห็นผลเพราะขัดกับวัฒนธรรมการลงทุนพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ในประเทศที่เคยชินกับการฝากเงินไว้ในธนาคารนั่นเอง ด้วยภารกิจที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาตลาดทุนไทยนี้ รัฐบาลจึงมีมติคณะรัฐมนตรีออกมาเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2547 กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุน LTF ขึ้นมา โดยให้ "สิทธิประโยชน์ทางภาษี" แก่ผู้ลงทุนเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนในกองทุน LTF มากยิ่งขึ้น โดยมีระยะเวลา 12 ปี (ตั้งแต่ปี 2547-2559)"
แล้วคุณผู้มีรายได้พึงประเมินหักค่าลดหย่อนต่างๆ แล้วเหลือเงินได้สุทธิในข่ายที่ต้องเสียภาษี(10-37%) จะมีส่วนร่วมในการ "ช่วยชาติ" แล้วยัง "ช่วยตัวเอง" ควบคู่กันไปได้อย่างไร เราลองมาฟังผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้กันดูดีกว่า
@การลงทุนผ่านกองทุน LTF ปัจจุบันยังไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย อย่างที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่ารูปแบบของ "กองทุนรวม" เป็นการเปลี่ยนนักลงทุนรายย่อยให้กลายมาเป็นนักลงทุนสถาบัน โดยจะระดมทุนเงินจากนักลงทุนรายย่อยหลายๆ รายมารวมกันให้เป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ แล้วนำไปจดทะเบียนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล จากนั้นจึงนำเงินที่ได้ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ซึ่งสำหรับกองทุน LTF ก็จะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปลงทุนใน "หุ้น" ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง ฟังดูแล้วก็ไม่ยุ่งยากอะไร แต่อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คุณกำลังคิด
เพราะภาพการลงทุนผ่านกองทุน LTF ที่ปรากฏในปัจจุบันนั้น ดูจะไม่สอดคล้องกับแนวทางที่ทางภาครัฐต้องการสนับสนุนสักเท่าไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ "เก่งกล้า รักเผ่าพันธุ์" ผู้ช่วยผู้จัดการ ศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับกองทุน LTF ในปัจจุบัน คือ
1)มีคน "ลงทุนน้อยมาก" และ2)ผู้ที่ลงทุนมีการ "ลงทุนกระจุกตัว" ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีเพียงครั้งเดียว ซึ่งการที่มีคนลงทุนน้อยก็จะทำให้เม็ดเงินลงทุนน้อยตามไปด้วย ประกอบกับเม็ดเงินที่ได้มากก็เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงปลายปี ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันได้
ทั้งนี้คงจะต้องมีการบริหารจัดการทั้ง 2 ส่วนควบคู่กันไป คือ ผู้ที่ยังไม่ได้เข้ามาลงทุนในกองทุน LTF ก็ต้องประชาสัมพันธ์ให้เขารับรู้ และเข้าใจเพื่อให้เข้ามาลงทุน ในขณะที่ผู้ที่ลงทุนในกองทุน LTF อยู่แล้วก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนของเขาให้มีการกระจายการลงทุนทุกเดือนตลอดทั้งปี เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันขึ้นมาให้ได้
"ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าในระยะเวลา 3 ปี (ปี2549-2551) จะเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนผ่านกองทุน LTF ขึ้นเป็น 300,000 คน ในจำนวนนี้ประมาณ 15% จะอยู่ในฐานภาษี 10% และอีก 50% อยู่ในฐานภาษี 20% หรือเฉลี่ยปีละ 100,000 คน และเพิ่มเม็ดเงินลงทุนผ่านกองทุน LTF เป็น 100,000 ล้านบาท ให้ได้ภายใน 3 ปี โดยเป้าหมายในระยะสั้นสิ้นปี 2549 นี้ จะเพิ่มนักลงทุนขึ้นเป็น 100,000 คน จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 60,000 คน และเพิ่มเม็ดเงินลงทุนผ่านกองทุน LTF ขึ้นเป็น 30,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 15,000 ล้านบาท เพียงแต่เราจะไปคุยให้เขาเห็นประโยชน์จากการลงทุนผ่านกองทุน LTF ได้อย่างไรเท่านั้นเอง"
@เพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบัน...คือ เพิ่มปริมาณการซื้อขาย ทั้งนี้ เพราะปัจจุบันหากจำแนกนักลงทุนในตลาดหุ้นโดยแบ่งตาม "เปอร์เซ็นต์การถือครองหุ้น" ตามมูลค่าตลาดแล้ว พบว่าเป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศที่เป็นนิติบุคคลมากที่สุดประมาณ 50% ,นักลงทุนรายย่อย 20% และนักลงทุนต่างประเทศน้อยที่สุดเพียง 10%
ในแง่ของการถือครองหุ้นเก่งกล้าบอกว่า เราคงไม่จำเป็นต้องไปเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันแต่ประการใด แต่ที่ต้องเพิ่มคือ ปริมาณการซื้อขายหุ้น เพราะหากแบ่งประเภทของนักลงทุนตาม "ปริมาณการซื้อขาย" แล้ว จะพบว่า ตลาดหุ้นไทยมีนักลงทุนรายย่อยมากที่สุดประมาณ 60% ,นักลงทุนต่างประเทศ 30% ในขณะที่มีนักลงทุนสถาบันในประเทศเพียง 10% เท่านั้น
"ดังนั้น การจะเพิ่มนักลงทุนสถาบัน เราคงต้องมองในเรื่องของการเพิ่มปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนสถาบัน ทั้งนี้จะเห็นได้ว่านักลงทุนสถาบันในประเทศมีการซื้อขายหุ้นน้อยมาก ไม่ค่อยซื้อขายหุ้น ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของนักลงทุนสถาบันอยู่แล้วที่เน้นลงทุนระยะยาว ไม่มีการซื้อขายบ่อย ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยมีการซื้อขายมาก และนักลงทุนต่างชาติก็ถือว่ามีการซื้อขายในระดับนี้เป็นปกติของเขาอยู่แล้ว"
@ลงทุนทุกเดือนตลอดทั้งปีช่วยสร้างเสถียรภาพให้ตลาดหุ้น เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในช่วงปลายปีนั้นจะมองในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพียงอย่างเดียว ไม่ได้สนใจในเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุน โดยอาจจะคิดว่า เข้ามาลงทุนเพียงอาทิตย์เดียวก็ได้สิทธิประโยชน์ไปเต็มที่ตลอดทั้งปี มองดูแล้วก็น่าจะคุ้มค่าดีในมุมมองของคุณ แต่ความจริงแล้วนอกจากจะเป็นการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนเต็มที่แล้ว ยังไม่ช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้นที่คุณเข้าไปร่วมลงทุนอีกด้วย
หลายคนอาจจะนึกภาพไม่ออกว่าทำไมพฤติกรรมของคุณ จึงส่งผลให้นักลงทุนสถาบันอย่างกองทุนรวมมีการซื้อขายที่บ่อยขึ้น เก่งกล้าอธิบายว่า เมื่อผู้ลงทุนนำเงินมาซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน LTF แล้ว กองทุนก็ต้องนำเงินไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แต่ถ้าปีหนึ่งคุณมาซื้อหุ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงปลายปี กองทุนก็จะลงทุนซื้อหุ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงปลายปีเหมือนกัน
สมมติเราสามารถเพิ่มเม็ดเงินลงทุนผ่านกองทุน LTF ขึ้นมาเป็นปีละ 24,000 ล้านบาท แต่กองทุนซื้อขายปีละครั้งเพราะนักลงทุนเข้ามาลงทุนกระจุกตัวในช่วงปลายปี ตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันอาจจะเพิ่มขึ้นไม่มาก
"แต่ที่เราคาดหวังคือ พฤติกรรมของผู้ลงทุนที่เปลี่ยนไปมีการเข้ามาลงทุนทุกเดือนกระจายไปตลอดทั้งปี เฉลี่ยเดือนละ 2,000 ล้านบาท แต่มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาทุกเดือนในตลาดหุ้นปีหนึ่ง 12 ครั้ง แต่แบบนี้ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันจะเพิ่มขึ้นมาก ด้วยเม็ดเงินลงทุนที่เท่ากัน คือ 24,000 ล้านบาท คุณว่าตลาดหุ้นจะมีเสถียรภาพมั้ย ใครจะขายหุ้นไม่รู้ แต่รู้ว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นทุกเดือนๆละ 2,000 ล้านบาท ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันก็จะเพิ่มขึ้น"
@สร้างวัฒนธรรมการลงทุนให้เกิดขึ้น เก่งกล้า บอกว่า ในแง่ของตัวผลิตภัณฑ์ คือ กองทุน LTF นั้นดีอยู่แล้ว แต่เราอยากจะสร้าง "วัฒนธรรมเรื่องการลงทุน" ให้กับผู้ลงทุนด้วย ฉะนั้นเราอยากเห็นผู้ลงทุนมีการกระจายการลงทุนตลอดทั้งปี คือ มองเรื่องการลงทุนเป็นหลัก โดยที่มีประโยชน์ทางภาษีเป็นของแถม เราจึงได้มีโครงการ "Let's Activate Your LTF" มีเงินต้องเก็บ มี LTF ต้องใช้ขึ้นมา เป็นการใช้แคมเปญนี้เป็นตัวกระตุ้นให้นักลงทุนมีการลงทุนที่ต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงแรกแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปการลงทุนต่อเนื่องตลอดทั้งปีจะถูกพิสูจน์ว่าช่วยลดความเสี่ยงได้จริง
"การลงทุนทุกเดือนกระจายไปตลอดทั้งปีนั้น จะทำให้คุณลงทุนไปในทุกๆ สถานการณ์ของตลาด แทนที่ไปลงทุนครั้งเดียวตอนปลายปี ซึ่งตอนนั้นคุณไม่มีสิทธิลุ้นแล้วว่าตลาดจะอยู่ตรงไหนจะขึ้นหรือลง คุณก็ต้องลงทุน นอกจากนี้การกระจายการลงทุนทุกเดือนตลอดทั้งปียังเป็นการสร้างวินัยให้กับตัวเอง ช่วยให้การลงทุนในแต่ละเดือนเป็นเม็ดเงินลงทุนที่ไม่มากนัก ดีกว่าไปลงทุนเพียงครั้งเดียวตอนปลายปีซึ่งผู้ลงทุนอาจจะใช้เม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่ ซึ่งอาจจะรู้สึกเสียดาย หรือว่าเป็นภาระในการลงทุนไป"
@ตลาดกองทุน LTF ยังไม่เต็ม ปัจจุบันมีผู้มีเงินได้พึงประเมินเมื่อหักค่าลดหย่อนต่างๆ แล้วมีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตั้งแต่ 10% ขึ้นไปประมาณ 2,000,000 คน แต่มีผู้ลงทุนผ่านกองทุน LTF อยู่ประมาณ 60,000 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% ของจำนวนผู้ที่ต้องเสียภาษีทั้งระบบเท่านั้น
เก่งกล้า จึงมองว่า ตลาดกองทุน LTF ยังมีอีกมาก และยังไม่เต็ม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้เข้ามาใช้ประโยชน์ตรงนี้ ประเด็นคือ คุณจะทำอย่างไรให้คนที่เหลืออยู่นี้เข้ามาลงทุน ส่วนหนึ่งก็คงต้องทำประชาสัมพันธ์ในวงกว้างเพื่อให้ข้อมูลมีการกระจายไปในวงกว้างอย่างครอบคลุม และทั่วถึงให้ผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากกองทุน LTF ได้ รู้ว่ามีกองทุน LTF อยู่ แต่การประชาสัมพันธ์ในวงกว้างเพียงอย่างเดียวนั้นคงไม่ได้ผลมากนัก จะต้อง "คุยตัวต่อตัว" ด้วยจึงจะได้ผล คือ การเข้าไปพูดคุยเพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจให้กับผู้ลงทุนโดยตรงแบบตัวต่อตัว
เพราะคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนได้ยินข่าวแต่ไม่รู้ว่ากองทุน LTF คืออะไร ก็อยู่เฉยๆ ในขณะที่บางคนรู้ว่ามี เคยได้ยิน แต่ไม่รู้รายละเอียด ขี้เกียจก็เลยปล่อยเอาไว้ก่อน ไม่ได้เข้ามาลงทุน ซึ่งเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่ถ้าเรามีคนเข้าไปคุยกับเขาให้รายละเอียดอยู่ต่อหน้าเขาๆ มีปัญหาสามารถที่จะตอบคำถามต่อหน้าเขาได้ทันที ตรงนี้เชื่อเลยว่าถ้าได้คุยตัวต่อตัวแล้ว 90% ของผู้ที่ได้คุย จะต้องลงทุนในกองทุน LTF
"ตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็เข้าไปร่วมกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ในการออกไปให้ความรู้เกี่ยวกับกองทุน LTF กับพนักงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเราก็มีหนังสือไป ถ้าสนใจเรื่องกองทุน LTF เราก็มีทีมงานที่จะเข้าไปคุยและให้ความรู้"
@เพิ่มผู้ลงทุน...เพิ่มขนาดเม็ดเงิน เมื่อเห็นตลาดชัดเจนเก่งกล้าอยากจะเห็นคือ มีผู้ที่เข้ามาลงทุนผ่านกองทุน LTF มากขึ้น เมื่อจำนวนคนลงทุนเพิ่มขึ้น เม็ดเงินลงทุนก็จะเพิ่มขึ้นตามมาเอง คือ ต้องทำเป็นขั้นๆ ไป ใครที่ยังไม่ได้เข้ามาใช้ประโยชน์ทางภาษีของกองทุน LTF เราก็ต้องให้เขาเข้ามาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ คือใช้ภาษีเป็นเครื่องจูงใจ ส่วนใครที่เข้ามาลงทุนในกองทุน LTF อยู่แล้ว เราก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนของเขาใหม่ให้มีวัฒนธรรมในการลงทุนมองเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นหลัก โดยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นตัวรองไป ซึ่งจากขนาดของตลาดกองทุน LTF ที่ยังมีอีกมาก เชื่อว่าจะสามารถที่จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
"หลายคนอาจจะมองว่ามันยากหรือทำไม่ได้ แต่มาดูนะปี 2547 ซึ่งเป็นปีแรกมีเม็ดเงินลงทุนผ่านกองทุน LTF 6,000 ล้านบาท ในปีที่สองมีเม็ดเงินเข้ากองทุน LTF 8,000 ล้านบาท สองปีรวมกัน 14,000 ล้านบาท ประเด็น คือ ถ้าผมจะทำปีหนึ่งสัก 24,000 ล้านบาท ได้มั้ย ได้ ไม่ใช่เรื่องยาก ก็ยังมีคนอีกตั้งเยอะที่ยังไม่ได้ลงทุน ถ้าผู้ลงทุน 60,000 คน ลงทุน 8,000 ล้านบาท ถ้าเพิ่มผู้ลงทุนขึ้นเป็น 200,000 คน เพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า ก็ 24,000 ล้านบาทเข้าไปแล้ว "
ผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้วยังไม่ได้เข้ามาลงทุนผ่านกองทุน LTF ก็ควรที่จะเข้ามาใช้สิทธิของคุณให้เต็มที่ สำหรับคนที่ลงทุนในกองทุน LTF อยู่แล้ว ก็ให้มีการกระจายการลงทุนทุกเดือนตลอดทั้งปี เท่านี้คุณก็จะมีส่วนร่วมในการสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดทุนไทยได้ไม่มากก็น้อยแล้ว
|