การวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล
การวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับบุคคลทั่วไป เพราะสามารถช่วยให้การจัดการทางการเงินของแต่ละบุคคลเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนด และสามารถที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ แม้ว่าสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงไป จากที่คาดการณ์ไว้บ้างก็ตาม
ปัจจัยพื้นฐานของการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล ประกอบไปด้วยปัจจัย ที่สำคัญ 3 ประการ คือ |
1. |
ผู้มีส่วนร่วมในการวางแผน ส่วนใหญ่หัวหน้าครอบครัวจะร่วมกับภรรยาและบุตรที่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะสามารถร่วมรับผิดชอบได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความผูกพัน และสามารถรับความเสี่ยงต่อการตัดสินใจในสิ่งที่ได้มีการวางแผนไว้ |
2. |
รายได้ส่วนบุคคลสุทธิรวม คือ จำนวนเงินรายได้ภายหลังการหักภาษีที่สมาชิกภายในครอบครัวมอบให้แก่ครอบครัว |
3. |
การวิเคราะห์บันทึกทางการเงิน มีประโยชน์ 2 ประการ คือ |
|
- |
สามารถจัดประเภทค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป ออกไว้ต่างหากจากค่าใช้จ่ายประเภทอื่น เพื่อให้การประมาณการรายจ่ายประเภทนี้ในปีต่อไปได้ชัดเจนขึ้น |
|
- |
สามารถประมาณการรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้ ช่วยให้เราวางแผนทางการเงินในอนาคตได้เป็นอย่างดี |
วัตถุประสงค์ทางการเงิน มี 3 ประการ คือ |
1. |
รายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายอย่างสม่ำเสมอ คือ รายจ่ายที่เกิดขึ้นทุกเดือนสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถประมาณการได้จากรายจ่ายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต |
2. |
เงินออมในระยะสั้น คือ เงินที่กำหนดเตรียมไว้เพื่อวัตถุประสงค์บางประการ ภายในระยะเวลาไม่นานนักในอนาคต เช่น 2 หรือ 3 ปีข้างหน้า |
3. |
เงินออมในระยะยาว คือ เงินที่เตรียมไว้เพื่อการใช้จ่ายในระยะเวลานานอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป ได้แก่ |
|
3.1 |
เงินทุนเพื่อโครงการภายหลังการเกษียณอายุ ควรมีการเพิ่มจำนวนเงินให้มากขึ้น เมื่อเทียบกับปัจจุบัน เพื่อรองรับภาวะเงินเฟ้อในอนาคตด้วย |
|
3.2 |
เงินทุนเพื่อการศึกษาของบุตร จำนวนเงินจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแผนการศึกษาที่ผู้ปกครองได้วางไว้ให้แก่บุตรของตน |
|
3.3 |
เงินลงทุนซื้อหุ้น พันธบัตร ทรัพย์สินที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เป็นเงินลงทุนเพิ่มเติมจากการสะสมรายได้ในอดีต เพื่อลดผลกระทบหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคต |
การวางระบบการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล จะต้องมีระบบการเก็บเอกสารหลักฐานทางการเงินที่สำคัญไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งได้แก่ |
1. |
งบรายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล เป็นรายงานที่แสดงถึงที่มาของรายได้ และที่ไปของรายจ่ายของครอบครัว ควรมีการจัดทำงบรายได้และรายจ่ายส่วนบุคคลนี้เป็นรายเดือน เพื่อช่วยลดปัญหาสภาพคล่อง หากมีรายจ่ายฉุกเฉินและจำเป็นจะต้องจ่ายทันที โดยทำการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือรายจ่ายที่สามารถเลื่อนระยะเวลาในการใช้จ่ายออกไปก่อนได้ |
2. |
งบดุลส่วนบุคคล ช่วยให้สามารถประเมินฐานะของครอบครัว อีกทั้งยังสามารถประมาณโครงการที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย งบดุลส่วนบุคคล ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ รายการทรัพย์สิน, รายการภาระหนี้สินต่าง ๆ และ มูลค่าสุทธิ (ส่วนต่างระหว่างทรัพย์สินและหนี้สิน) |
3. |
บันทึกรายการทรัพย์สินส่วนบุคคล หมายถึง รายการทรัพย์สินมีค่า เช่นเครื่องประดับ และเครื่องใช้ภายในบ้านทุกชนิด บันทึกรายการทรัพย์สินส่วนบุคคลนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ตัวอย่างเช่น |
|
- |
กรณีทำประกันภัยไว้ สามารถเป็นหลักฐานในการพิสูจน์การครอบครองทรัพย์สิน หากเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินเหล่านั้นขึ้น เช่นการถูกโจรกรรม หรือการเกิดเพลิงไหม้ |
|
- |
กรณีไม่ได้ทำประกันภัยไว้ หากทรัพย์สินนั้นถูกขโมยไป และเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามทรัพย์นั้นคืนมาได้ ก็สามารถจะแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของได้ |
4. |
บันทึกรายการเสียภาษี มีประโยชน์อย่างมาก ดังนี้ |
|
- |
ช่วยให้ทราบถึงกำหนดของการชำระภาษี |
|
- |
ช่วยให้ทราบว่ารายได้ประเภทใดบ้างที่จะต้องชำระภาษี |
|
- |
มีความสะดวกในการชำระภาษีครั้งต่อไป |
|
- |
สามารถคำนวณภาษีได้ถูกต้องและครบถ้วน อีกทั้งสามารถเรียกคืนภาษีที่ชำระไว้เกินได้ |
5. |
บันทึกรายการหลักฐานการมีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดิน ได้แก่ |
|
5.1 |
โฉนดที่ดิน เป็นหลักฐานที่แสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ในโฉนด |
|
5.2 |
พิมพ์เขียวแบบบ้าน หากในอนาคตมีแผนการในจะปรับปรุงโครงสร้างหรือซ่อมแซมตัวบ้านเพิ่มเติม จะสามารถช่วยให้สถาปนิกและผู้รับเหมาดำเนินการได้เร็วขึ้น |
|
5.3 |
บันทึกรายจ่ายในการต่อเติมหรือปรับปรุงอาคารบ้านที่อยู่อาศัย เพื่อให้ทราบถึงมูลค่าของราคาบ้านทั้งหมด หากอนาคตตัดสินใจจะขายบ้าน จะทำให้สามารถตั้งราคาขายได้ถูกต้องตามหลักฐานที่มีอยู่ |
6. |
บันทึกหลักฐานในการประกันภัย หากทรัพย์สินที่มีการซื้อกรมธรรม์ประกันภัยไว้ ได้รับความเสียหาย ท่านหรือผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์จะสามารถนำหลักฐานไปอ้างสิทธิในการรับสินไหมทดแทนได้ ภายในกำหนดเวลาที่บริษัทรับประกันระบุไว้ตามเงื่อนไขในสัญญา |
7. |
บันทึกหลักฐานในการลงทุน หากมีการลงทุนซื้อหลักทรัพย์ใด ๆ การบันทึกรายการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เนื่องจาก |
|
- |
ทำให้ทราบว่ารายการลงทุนใดที่จะต้องเสียภาษีเป็นจำนวนเท่าใด และการลงทุนประเภทใดไม่ต้องเสียภาษีและท่านจะสามารถเครดิตขอคืนภาษีได้เป็นจำนวนเงินเท่าใด |
|
- |
สามารถคำนวณรายได้เงินปันผลและดอกเบี้ยได้อย่างถูกต้อง |
|
- |
สามารถวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงในการลงทุน |
8. |
บันทึกรายการหลักฐานสำคัญส่วนบุคคลอื่น ๆ นอกเหนือจาก 7 ประเภทข้างต้น เช่น เอกสารใบทะเบียนบ้าน, เอกสารการเปลี่ยนชื่อ คำนำหน้าชื่อ นามสกุล ยศ ตำแหน่ง, ใบสูติบัตรของสมาชิกในบ้านทุกคน, ใบรับรองการรับบุตรบุญธรรม, ใบทะเบียนสมรส, พินัยกรรม หรือจดหมายคำสั่งเสียแทนพินัยกรรม โดยในแต่ละครอบครัวอาจมีเอกสารสำคัญแตกต่างกันไปตามนโยบายการดำรงชีวิตที่ต่างกันของหัวหน้าครอบครัว และสมาชิกภายในบ้าน
|
|
|
|
การออมส่วนบุคคลและภาวะเงินเฟ้อ
การออมเป็นการสะสมเงินไว้ใช้ในยามจำเป็น เมื่อท่านหรือครอบครัวเกิดปัญหาทางการเงิน เช่น ท่านถูกไล่ออกจากงานทำให้ขาดรายได้ หรือประสบกับภาวะเงินเฟ้อทำให้รายได้ไม่พอกับรายจ่าย หรือท่านอยู่ในช่วงหลังการเกษียณอายุ หากท่านมีเงินออมไว้มากพอ ท่านก็จะไม่ประสบกับปัญหาทางการเงินมากนัก จำนวนเงินออมที่เหมาะสมขึ้นกับแต่ละบุคคล และแต่ละครอบครัว โดยจะแตกต่างกันไปตามสภาวะแวดล้อม ความเป็นอยู่ รวมถึงนโยบายในการวางแผนทางการเงิน
เหตุผลที่สำคัญในการออม ก็คือ ท่านจะมีเงินสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินมากขึ้นอาจจะมีผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยหรือเงินปันผลเพิ่มขึ้นจากที่ท่านนำเงินไปลงทุนในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อพันธบัตรรัฐบาล การซื้อหลักทรัพย์ หรือการซื้อกองทุน เป็นต้น
การที่เราจะออมเงินมากขึ้น หรือลดลงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ผลตอบแทนที่ผู้ออมได้รับจากการออม กล่าวคือ ยิ่งผลตอบแทนในการออมมากขึ้นเท่าใด ก็จะเป็นสิ่งดึงดูดใจให้มีการออมมากขึ้นเท่านั้น มูลค่าอำนาจซื้อของเงินในปัจจุบัน ผู้ออมจะตัดสินใจทำการออมมากขึ้นจากการพิจารณาถึงอำนาจซื้อของเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน ว่าไม่มีความแตกต่างจากมูลค่าของเงินในอนาคตมากนัก กล่าวคือ เงิน 100 บาทในวันนี้สามารถซื้อสินค้าและบริการได้ในจำนวนใกล้เคียงหรือเท่ากับการใช้เงิน 100 บาทในการซื้อสินค้าและบริการในอีก 2-3 ปีข้างหน้า รายได้สุทธิส่วนบุคคล กล่าวคือ ผู้ที่มีรายได้น้อยก็จะมีอัตราส่วนในการออมน้อยลงไปด้วย ความแน่นอนของจำนวนรายได้ในอนาคตภายหลังการเกษียณอายุ กล่าวคือ ถ้าท่านเห็นว่ารายได้ในอนาคตเป็นจำนวนที่เพียงพอในการใช้จ่ายในอนาคต การออมในปัจจุบันจะมีจำนวนน้อยลง อย่างเช่น ถ้าท่านทำงานรับราชการ ภายหลังการเกษียณอายุท่านก็จะมีบำเหน็จ บำนาญไว้ใช้จ่าย
ภาวะเงินเฟ้อ
เป็นภาวะที่ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น เนื่องมาจากราคาสินค้าทั้งหมดโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งการเพิ่มขึ้นจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคควรให้ความสนใจก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการในภาวะเงินเฟ้อ คือ การเปรียบเทียบกันระหว่างราคาที่เป็นตัวเลขและราคาโดยเปรียบเทียบว่าสมควรที่จะทำการบริโภคต่อไปหรือไม่
ในช่วงของการเกิดเงินเฟ้อ กลยุทธ์ที่เหมาะสมและดีที่สุดในการใช้จ่ายเงินสำหรับผู้บริโภคทั่วไป คือ วิธีการซื้อก่อนผ่อนทีหลัง (Buy Now,Pay Later) เพราะว่าสินค้าบางชนิดมีราคา 100 บาทในปัจจุบัน อาจมีราคาเพิ่มขึ้นเป็น 110 บาทในปีหน้าผู้บริโภคอาจจะคิดว่าควรชะลอการซื้อออกไปก่อนจะดีไหม ซึ่งในบางครั้งอาจเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้หรือเป็นสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูง ทำให้ไม่สามารถรอเวลาดังกล่าวได้ วิธีการที่เหมาะสมที่สุดก็คือ การซื้อก่อนผ่อนทีหลัง การที่ท่านรอซื้อสินค้าในอนาคตนอกจากจะทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อแล้ว อำนาจซื้อของเงินก็ยังมีค่าลดลงอีกด้วย แต่การใช้สินเชื่อก็ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดหากท่านต้องการซื้อสินค้าที่มีราคาไม่สูงมากนัก ท่านควรซื้อด้วยเงินสดจะดีกว่า เพราะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อมากที่สุด คือบุคคลที่มีรายได้คงที่ เพราะพวกเขาจะมีรายได้คงที่ในขณะที่ราคาของสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ นอกจากนี้ผู้เป็นเจ้าหนี้ก็จะเป็นผู้เสียประโยชน์ เพราะเงินที่ลูกหนี้ต้องชดใช้ในอนาคตจะมีมูลค่าลดลง
กระบวนการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล
กระบวนการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดที่มาของรายได้ส่วนบุคคลทั้งหมดว่าได้มาอย่างไร จนถึงขั้นตอนในการตัดสินใจจัดการกับรายได้ดังกล่าว ซึ่งขั้นตอนพื้นฐานในกระบวนการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคลมีอยู่ด้วยกัน 5 ขั้นตอน ดังแสดงไว้ในรูป
กระบวนการในการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล
ความสำคัญของการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล เพื่อป้องกันการเกิดความขัดสนทางการเงินมี 4 ประการ คือ
1. ในกรณีที่ท่านแต่งงานมีครอบครัวแล้ว การตัดสินใจจัดการกับรายได้ที่ท่านมีอยู่ ควรเป็นโครงการร่วมกันระหว่างท่านและคู่สมรส การจัดสรรรายจ่ายชนิดใดเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใด ควรคำนึงถึงรายจ่ายอื่นๆที่ท่านจะต้องใช้จ่ายจากเงินรายได้ของท่าน พร้อมทั้งอธิบายถึงการเกิดรายจ่ายและการจัดการรายจ่ายนั้นๆไว้อย่างชัดเจน เพื่อที่ท่านจะได้สามารถจัดทำงบประมาณส่วนบุคคลไปได้ด้วยดี
2. ควรมีการกำหนดเงินสำรองรายจ่ายส่วนบุคคลขึ้นไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในจำนวนที่ทั้งท่านและคู่สมรสเห็นว่าเหมาะสม โดยรายจ่ายจำนวนนี้เป็นรายจ่ายนอกเหนือจากรายจ่ายที่ท่านแจกแจงไว้ในข้อที่ 1 ท่านและคู่สมรสจะได้มีอิสระส่วนตัวในการใช้จ่ายโดยไม่ต้องถูกบังคับให้มีการจัดการทางการเงินเฉพาะเพียงรายการที่กำหนดไว้ในงบประมาณเท่านั้น
3. รายการรายจ่ายตามที่ได้กำหนดไว้ในงบประมาณ ในทางปฏิบัติไม่ได้หมายความว่าครอบครัวทั้งหลายจะต้องมีการดำเนินการให้เป็นไปตามงบประมาณ โดยไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงแนวทางในการใช้จ่ายได้เเลย เช่น ในกรณีที่ท่านกำหนดรายจ่ายค่าอาหารไว้ประมาณสัปดาห์ละ 1,000 บาท แต่หากในวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์ท่านอาจมีรายการซื้ออาหารเป็นพิเศษ เช่น ในสัปดาห์นั้นท่านอาจต้องการรับประทานเนื้อวัวที่มีคุณภาพดี หรือในฤดูผลไม้ลิ้นจี่ ทุเรียนซึ่งมีราคาแพงกว่าผลไม้ประเภทอื่น เช่น ส้ม เงาะ กล้วย ท่านก็อาจมีรายจ่ายค่าอาหารสูงกว่าจำนวนรายจ่ายที่ได้ตั้งงบประมาณไว้ เช่น อาจเป็น 1,500 บาทต่อสัปดาห์ได้ รายจ่ายส่วนเกิน 500 บาทนี้ท่านสามารถทำการปรับงบประมาณของท่านโดยไม่ทำให้งบประมาณส่วนรวมผิดพลาดได้ เช่น อาจมีการลดรายจ่ายค่าอาหารในสัปดาห์อื่น หรือเดือนอื่นๆลง เป็นต้น แต่ไม่ควรให้เกิดรายจ่ายส่วนเกินนี้ขึ้นบ่อยครั้ง และในทางตรงกันข้าม ก็ไม่ควรจำกัดการใช้จ่ายให้ต่ำกว่าวงเงินงบประมาณมากเกินไป โดยหวังว่าจะได้มีเงินคงเหลือเป็นจำนวนมากเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาของงบประมาณ เพราะอาจเป็นสาเหตุของการเกิดการโต้แย้งขึ้นภายในครอบครัวได้เนื่องจากการไม่มีความเป็นอยู่ที่ดีตามฐานะที่ควรจะเป็น
4. ควรมีการเก็บรักษาบันทึกทางการเงินทั้งส่วนที่เป็นรายได้ และส่วนที่เป็นรายจ่ายไว้เป็นอย่างดี เพราะรายการรายจ่ายบางรายการอาจเป็นรายการสำคัญที่ควรทราบ เช่น รายการการเสียภาษีก็ควรมีการแยกรายการโดยแสดงรายละเอียดไว้ต่างหากโดยเฉพาะ หรือรายจ่ายที่ไม่มีหลักฐานใบเสร็จรับเงินควรมีการบันทึกไว้ให้ถูกต้อง เพราะการบันทึกรายการที่ผิดพลาดจะมีผลกระทบถึงการทำงบประมาณในปีต่อๆไปได้
งบประมาณรายได้ส่วนบุคคล
ขั้นตอนแรกในกระบวนการทำงบประมาณส่วนบุคคล คือ การจัดหมวดหมู่ของแหล่งที่มาของรายได้เข้าไว้ด้วยกัน ตัวอย่างการบันทึกแหล่งที่มาของรายได้ สามารถจัดทำได้ดังตาราง
แหล่งที่มาของรายได้ |
ม.ค. |
ก.พ. |
มี.ค. |
เม.ย. |
พ.ค. |
มิ.ย. |
ก.ค. |
ส.ค. |
ก.ย. |
ต.ค. |
พ.ย. |
ธ.ค. |
เงินเดือนค่าแรง |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เงินเดือนและค่าแรงของคู่สมรส |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
โบนัส |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ค่าเช่า |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เงินปันผล |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
รายได้พิเศษ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
รายได้พิเศษของคู่สมรส |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
รายได้อื่นๆ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
รวมรายได้ทั้งหมด |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ควรสังเกตว่า แหล่งที่มาของรายได้โดยปกติ มักจะหนีไม่พ้นรายการต่อไปนี้ คือ รายได้จากการทำงานตามลักษณะอาชีพของท่าน คู่สมรส หรืองานพิเศษนอกเหนือจากงานอาชีพประจำของทั้งท่านและคู่สมรส รายได้จากดอกเบี้ยตามบัญชีเงินฝากประเภทต่างๆในธนาคาร รายได้เงินปันผล ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล เงินโบนัสประจำปี ลาภลอยต่างๆ เช่น การถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล สลากออมสิน หรือการชิงโชคอื่นๆ ในทางปฏิบัติแล้วอาจมีรายได้ประเภทอื่นนอกเหนือจากรายการข้างต้นได้อีก อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ง่ายที่สุดในการจัดหมวดหมู่ของประเภทรายได้ก็คือ การทำบันทึกเป็นกระดาษทำการแนบไว้กับงบประมาณแสดงแหล่งที่มาของรายได้ในแต่ละรอบระยะเวลาเอาไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนและเปรียบเทียบรายการรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และหากคู่สมรสของท่านมีรายได้เช่นกัน การทำบันทึกดังกล่าวข้างต้นจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
ข้อแนะนำบางประการในการคำนวณรายได้ของครอบครัวที่มีประโยชน์และทำให้สามารถติดตามค้นหารายการรายได้ได้ครบถ้วนและถูกต้อง คือ
1. คำนวณผลรวมเฉพาะรายได้สุทธิที่ท่านได้รับอยู่จริงเท่านั้น กล่าวคือ ท่านอาจมีรายได้ตามบัญชีเงินเดือนเป็นเดือนละ 10,000 บาท แต่รายได้ที่ท่านได้รับจริงสุทธิเป็นเพียง 9,200 บาทเท่านั้น ส่วนแตกต่าง 800 บาทนี้เป็นรายจ่ายที่นายจ้างหักไว้เป็นค่าภาษี 350 บาท ค่าเงินสวัสดิการต่างๆภายในสถานที่ทำงาน 150 บาท และเงินสะสมเพื่อโครงการเกษียณอายุอีก 300 บาท จำนวนรายได้ที่ท่านจะใส่ไว้ในงบประมาณจะเป็นเพียงจำนวน 9,200 บาท โดยไม่ใช่เป็นจำนวน 10,000 บาท ท่านอาจไม่พอใจในการถูกหักเงินจำนวน 800 บาทนี้ไว้ เพราะทำให้ท่านมีเงินที่จะใช้จ่ายน้อยลง อย่างไรก็ตาม ถ้าหน่วยงานของท่านไม่มีนโนบายในการจัดหา สวัสดิการดังกล่าวข้างต้นไว้เพื่อความปลอดภัยทางการเงินของท่านแล้ว ท่านก็ไม่ควรที่จะลืมกันเงินสำรองเพื่อการนี้ไว้ในงบประมาณของท่านเองด้วย เพราะรายจ่ายดังกล่าวจะเป็นรายจ่ายที่ท่านไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายในวันนี้หรือในอนาคต
2. ถ้าท่านไม่แน่ใจว่ารายได้ที่ท่านจะได้รับเป็นจำนวนที่แน่นอนเท่าใดแล้ว ให้ท่านประมาณวงเงินในจำนวนที่น้อยที่สุดที่ท่านคิดว่าจะได้รับไว้ก่อน เพื่อว่าเมื่อท่านประมาณรายจ่ายเพียงภายในวงเงินรายได้ที่มีอยู่แล้ว ต่อมาในภายหลังที่ท่านได้รับรายได้เพิ่มขึ้น จะทำให้ท่านมีเงินคงเหลือเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาการทำงบประมาณเพิ่มขึ้น ก็ย่อมเป็นการดีกว่าที่ท่านจะประมาณวงเงินที่คาดว่าจะได้รับไว้สูง ทั้งๆที่ไม่แน่ใจว่ารายได้นั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะการลดรายจ่ายให้น้อยลงกว่างบประมาณ เป็นเรื่องที่กระทำได้ยากกว่าการเพิ่มรายจ่ายให้สูงกว่างบประมาณ เช่น ในกรณีที่ท่านไม่แน่ใจว่าท่านจะได้รับบำเหน็จประจำปีเป็น 1 ขั้น หรือ 2 ขั้นเป็นต้น
3. คำนวณตัวเลขรายได้จำนวนใหม่ขึ้นมา เมื่อถึงรอบระยะเวลาการขึ้นเงินเดือนประจำปี เช่น ถ้าท่านเป็นข้าราชการท่านจะได้รับการพิจารณาให้เลื่อนขั้นเงินเดือนในราวเดือนกรกฎาคม- สิงหาคม แต่เงินเดือนใหม่ท่านจะได้รับเมื่อสิ้นเดือนตุลาคม หรือหาดท่านทำงานในบริษัทเอกชนท่านอาจได้รับเงินเดือนใหม่ในระหว่างปีได้ถ้าท่านมีความดีความชอบพิเศษ ในกรณีเช่นนี้ ท่านก็จะมีรายจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การคำนวณรายได้ภายหลังการหักภาษีให้ถูกต้องและจัดการเพิ่มรายได้ไว้งบประมาณให้เรียบร้อย จะเป็นประโยชน์ในการจัดสรรรายจ่ายบางรายการให้เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่รายการภาษีที่ท่านคำนวณขึ้น อาจเป็นรายจ่ายที่ท่านได้รับกลับคืนในภายหลัง เช่น รายการคืนภาษีเนื่องจากมีการคำนวณไว้ในระหว่างปีผิดพลาด การที่ท่านมีบุตรเพิ่มขึ้นและได้รับการลดหย่อนภาษีมากขึ้น การลงทุนที่มีสิทธิได้รับคืนภาษี การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีของรัฐบาล ฯลฯ อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวอาจไม่มีผลทำให้งบประมาณเปลี่ยนแปลงได้เท่าใดนัก แต่ก็ยังเป็นการดีกว่าที่จะมีรายการรายจ่ายเพิ่มขึ้นโดยไม่คาดฝัน แม้ว่ารายจ่ายนั้นจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากก็ตาม
4. ถ้าอาชีพของท่านก่อให้เกิดรายได้ที่ไม่แน่นอน เช่น อาชีพนักร้อง นักแสดง นักเขียน นักมวย พนักงานขาย นายหน้า สถาปนิก ฯลฯ รายได้ของท่านจะได้รับไม่สม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือนเหมือนเช่นที่ท่านเป็นข้าราชการประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานในบริษัทห้างร้านต่างๆ เพราะแม้ว่าท่านจะทำงานเสร็จแล้วแต่ท่านก็ยังอาจจะไม่ได้รับเงินค่าจ้างทันที การทำงบประมาณรายจ่ายของท่านจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก และจะต้องมีการประมาณที่ถูกต้องโดยพิจารณาจากจำนวนผลงานที่เกิดขึ้นก่อนที่จะได้รับเงินค่าจ้าง และการประมาณรายได้ประจำเดือนกระทำได้โดยการหารรายได้ต่อปีที่ประมาณขึ้นด้วย 12 เพราะรายรับในแต่ละปีอาจแตกต่างกันได้ ขึ้นกับความสามารถและความมีชื่อเสียงของท่านเอง
หลักเกณฑ์สำคัญในการทำงบประมาณเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจัดการทางการเงิน คือ การประมาณรายได้ไว้ในจำนวนที่ต่ำที่สุดที่ท่านคิดว่าควรจะเป็น และประมาณรายจ่ายไว้ค่อนข้างสูงภายในวงเงินรายได้ที่ท่านมีอยู่ เพื่อที่ว่าเมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ท่านจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินได้ดีกว่าการประมาณรายได้ไว้สูง หรือการประมาณรายจ่ายไว้ต่ำเกินไปจนท่านไม่สามารถจะปรับงบประมาณของท่านได้เลย เมื่อท่านมีความจำเป็นจะต้องมีรายจ่ายรายการใดรายการหนึ่งสูงกว่างบประมาณที่วางไว้
งบรายจ่ายส่วนบุคคล
เพื่อที่จะควบคุมการใช้จ่ายจากเงินรายได้ที่มีอยู่ให้เกิดความสมดุลขึ้น วิธีการที่ดีที่สุด คือ การจดจำว่ารายการรายจ่ายทั้งหมดของท่านมีรายการใดบ้าง และเป็นรายจ่ายประเภทใด จำนวนเท่าใด พร้อมทั้งจัดประเภทของรายจ่ายต่างๆไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน เช่น กลุ่มรายจ่ายประจำ กลุ่มรายจ่ายแปรได้หรือกลุ่มรายจ่ายกึ่งประจำกึ่งแปรได้ เพราะรายจ่ายกลุ่มแปรได้จะเป็นรายจ่ายที่ท่านควรให้ความสนใจมากกว่ารายจ่ายประเภทอื่น เนื่องจากท่านสามารถเลื่อนกำหนดการใช้จ่ายไปได้มากกว่าการเป็นรายจ่ายประจำ หรือรายจ่ายกึ่งประจำกึ่งแปรได้
ภายหลังจากที่ท่านได้แจกแจงและจัดกลุ่มประเภทรายจ่ายขึ้นแล้ว ขั้นต่อไปคือ การหาค่าร้อยละของรายจ่ายทุกรายการว่ารายจ่ายต่างๆเหล่านั้นมีการใช้จ่ายคิดเป็นร้อยละเท่าใดของรายได้ที่มีอยู่ ท่านควรตระหนักไว้เสมอว่าเมื่อท่านมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่ท่านควรกระทำต่อไปคือ การนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนทางใดทางหนึ่งที่จะทำให้ท่านมีผลตอบแทนมากขึ้นจากการลงทุนนั้นๆ การลงทุนในที่อยู่อาศัยก็เป็นการลงทุนที่ดีวิธีหนึ่ง เนื่องจากบ้านและที่ดินจะไม่มีค่าเสื่อมราคาเมื่อเวลาผ่านไป ราคาบ้านและที่ดินจึงมีราคาสูงขึ้นตามระยะเวลาของการใช้งาน และ ถ้าท่านลงทุนในบ้านและที่ดินด้วยเงินกู้ รายจ่ายที่ท่านต้องจ่ายเป็นประจำต่อเดือน มีเพียงรายการเงินต้นค่าผ่อนชำระบ้านและรายการดอกเบี้ยจ่ายตามจำนวนราคาบ้านที่ตกลงกันในวันซื้อเท่านั้น รายจ่ายค่าผ่อนชำระบ้านสามารถนำไปเป็นรายการหักลดหย่อนเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปีได้
วิธีการที่ง่ายและฉลาดที่สุดในการจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล คือ การย้อนไปวิเคราะห์ถึงรายจ่ายที่เกิดขึ้นในปีก่อนๆ เพื่อดูถึงลักษณะนิสัยในการใช้จ่ายของท่าน เพราะรายการต่างๆเหล่านั้นจะบ่งบอกถึงรายจ่ายรายการหลักที่ควรจัดให้มีไว้ในงบประมาณได้เป็นอย่างดี
การทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ในรายการรายจ่ายอาจแยกเป็นประเภทรายจ่ายได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. รายจ่ายประจำ รายจ่ายประจำ หมายถึง รายจ่ายที่เป็นภาระผูกพันและมีรอบระยะเวลาการจ่ายสม่ำเสมอตลอดไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
2. รายจ่ายแปรได้ รายจ่ายแปรได้จะเป็นรายจ่ายประเภทสำคัญ แต่จะเป็นรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ คาดฝันหรือเป็นรายจ่ายที่ได้มีการตั้งงบประมาณไว้ว่า อาจจะมีการจ่ายเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งในอนาคต เช่น รายจ่ายค่าซ่อมแซมหรือปรับปรุงโครงสร้างของบ้านที่อยู่อาศัยใหม่ รายจ่ายพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดประจำปี เงินบริจาคการกุศล รายจ่ายเพื่อซื้อทรัพย์สินทดแทน เช่น วิทยุ โทรทัศน์สีเครื่องใหม่ และเงินออม เป็นต้น รายจ่ายต่างๆเหล่านี้จึงเป็นรายจ่ายที่สามารถจะเลื่อนกำหนดการจ่ายออกไปได้ หรืออาจเป็นรายการที่ไม่ต้องมีการจ่ายเลยก็เป็นได้ ถ้าท่านยังไม่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะต้องใช้จ่ายในเดือนหรือปีนั้นๆ และมีรายจ่ายรายการอื่นในงบประมาณที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นมากกว่าเกิดขึ้น
3. รายจ่ายกึ่งประจำกึ่งแปรได้ หมายถึง รายจ่ายที่มาสามารถจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการใช้จ่ายได้เลย ถึงแม้ว่ารายการเหล่านี้จะเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นเป็นประจำก็ตาม แต่จำนวนเงินในแต่ละรอบระยะเวลามักเป็นจำนวนที่ไม่แน่นอน เช่น ในระหว่างเดือนมีนาคม ? เมษายนซึ่งเป็นฤดูร้อน รายจ่ายค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปามักมักจะมีจำนวนสูงกว่ารายการที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม ซึ่งเป็นฤดูหนาว หรือรายการค่าโทรศัพท์ในเดือนที่มีวันหยุดงานมากจะมีจำนวนสูงกว่ารายการที่มีวันหยุดงานน้อย
ปัญหาในการจัดหมวดหมู่ของรายการรายจ่าย ในการจัดหมวดหมู่ของรายการรายจ่ายตามประเภทนั้น ควรที่หัวหน้าครอบครัวและสมาชิกจะต้องมีการปรึกษาหารือร่วมกันอย่างจริงจัง เพื่อกำหนดว่ารายการรายจ่ายใดควรเป็นรายจ่ายแปรได้ และรายการรายจ่ายใดควรเป็นรายจ่ายกึ่งประจำกึ่งแปรได้ เพราะในบางครั้งอาจไม่สามารถแยกรายการทั้งสองประเภทออกได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีรายได้มากๆ รายการรายจ่ายประเภทแปรได้มักจะกลายเป็นรายจ่ายประเภทกึ่งประจำกึ่งแปรได้มากขึ้น แตกต่างกับครอบครัวที่มีรายได้ระดับปานกลางหรือระดับต่ำ รายจ่ายประเภทกึ่งประจำกึ่งแปรได้อาจเป็นรายจ่ายที่ถูกตัดทอนไปจากงบประมาณอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น รายการรายจ่ายค่าพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดประจำปี รายจ่ายในวันฉลองขึ้นปีใหม่ รายจ่ายค่าซื้อรถยนต์คันใหม่แทนการซ่อมแซมรถยนต์คันเก่า เป็นต้น
เงินออม เงินออม เป็นรายการที่สำคัญที่สุดรายการหนึ่งในงบประมาณส่วนบุคคล เพราะวัตถุประสงค์ทางการเงินบางโครงการอาจเป็นการใช้จ่ายเงินจำนวนค่อนข้างสูงในอนาคต จึงต้องเริ่มทำการออมเสียตั้งแต่วันนี้เพื่อที่จะมีเงินออมรวมตามจำนวนที่ต้องการในวันข้างหน้า หรือรายจ่ายบางรายการท่านอาจไม่มีเงินพอที่จะใช้จ่ายในขณะนั้น และรายการดังกล่าวเป็นรายการที่สามารถเลื่อนกำหนดการใช้จ่ายออกไปได้ ท่านจึงต้องทำการออมไปทีละเล็กละน้อยเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เช่น การออมเพื่อการศึกษาบุตร การออมเพื่อการลงทุนในที่อยู่อาศัย เงินทุนเพื่อโครงการภายหลังการเกษียณอายุ รายการเหล่านี้ถือเป็นการออมในระยะยาวทั้งสิ้น
รายจ่ายฉุกเฉิน ทุกครอบครัวควรมีการออมไว้เพื่อรายจ่ายฉุกเฉิน เพราะรายจ่ายประเภทนี้มักเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน แต่ก็เป็นรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เช่น รายจ่ายค่าซ่อมรถยนต์เนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน รายจ่ายค่ารักษาพยาบาลของสมาชิกในครอบคัวที่เกิดเจ็บป่วยกะทันหัน ในบางครอบครัวอาจใช้วิธีการป้องกันปัญหาดังกล่าวโดยการผลักภาระไปให้บริษัทประกันภัย ในกรณีเช่นนี้ ท่านจะมีรายจ่ายประจำเกิดขึ้น คือ รายจ่ายค่ากรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุหรือค่ากรมธรรม์ประกันสุขภาพและท่านก็จะหมดกังวลต่อการออมเงินไว้เพื่อการฉุกเฉินไปได้ เพราะเมื่อท่านเกิดความเสียหายหรือมีการสูญเสียเกิดขึ้น บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับภาระรายจ่ายดังกล่าวให้แก่ท่าน แต่ควรสังเกตว่าในการใช้บริการการประกันภัยนั้น ถ้าท่านไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นท่านจะถูกริบเบี้ยประกันโดยทั้งหมด จึงต่างกับการออมเงินไว้ด้วยตนเอง ที่ถ้าท่านไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้จ่ายเงิน ท่านก็จะยังคงมีเงินออมสะสมไว้อยู่ตลอดไป
รายจ่ายฉุกเฉินที่เป็นไปได้อีกกรณีหนึ่ง คือ การที่ผู้หาเลี้ยงครอบครัวไม่มีความสามารถจะหารายได้อีกต่อไป ในกรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทที่ท่านทำงานอยู่ต้องการปลดพนักงานออกเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การถูกย้ายตำแหน่งไปยังหน่วยงานที่ไม่ตรงกับความสามารถของท่าน จึงจำเป็นต้องลาออกหรือเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายจนไม่สามารถจะทำงานได้ต่อไป ไม่ว่าเหตุผลใดท่านจะกลายเป็นคนว่างงานทันที ผลที่ตามมาคือ ท่านและผู้อยู่ในอุปการะเลี้ยงดูของท่านในครอบครัวจะเริ่มต้องการเงินทุนจำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตต่อไปในอนาคต จนกว่าท่านหรือสมาชิกคนใดคนหนึ่งจะสามารถหางานทำใหม่ได้ เงินทุนฉุกเฉินจึงมีความสำคัญสำหรับครอบครัวนั้นๆ ปัญหาต่อไปคือ การกำหนดวงเงินฉุกเฉินที่แต่ละครอบครัวจะต้องตั้งงบประมาณไว้ ว่าควรจะเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใด ซึ่งความจริงแล้วไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ตายตัวว่าแต่ละครอบครัวควรมีการกันเงินออมไว้เป็นร้อยละเท่าใดของรายได้ หรือมีการบังคับว่าทุกครอบครัวควรต้องมีการกันเงินไว้เพื่อการนี้แต่ประการใด
สมมติว่าท่านมีการใช้จ่ายทั้งสิ้นเดือนละ 30,000 บาท ถ้าท่านต้องการจะเก็บเงินไว้เพื่อรายจ่ายฉุกเฉินภายในระยะเวลา 3 เดือน โดยคิดว่าถ้าท่านต้องออกจากงาน ภายในระยะเวลา 3 เดือน ท่านจะสามารถหางานใหม่หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางการเงินได้ หมายความว่า ท่านควรมีเงินสำรองไว้ทั้งสิ้น 90,000 บาท โดยที่ครอบครัวไม่มีความเดือดร้อนทางการเงินเลย แต่ถ้าระยะเวลาในการแก้ปัญหานั้นนานออกไป จำนวนเงินสำรองที่กันไว้ก็ควรจะมากขึ้น การสร้างเงินทุนสำรองเพื่อรายจ่ายฉุกเฉิน กระทำได้โดยการนำเงินส่วนที่เหลือหลังจากใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็นหมดแล้วไปลงทุนในแหล่งที่มีผลตอบแทนสูงและมีความเสี่ยงภัยไม่มากนัก เช่น การลงทุนในหลักทรัพย์ที่มั่นคง เป็นต้น
ทางแก้ปัญหาของการเกิดรายจ่ายฉุกเฉินในกรณีที่ท่านต้องออกจากงาน หรือไม่มีความสามารถจะทำงานอีกต่อไป และท่านมีเงินสำรองไว้ไม่เพียงพอ คือ
1. ปกติแล้วเกือบทุกหน่วยงานจะมีการจ่ายเงินชดเชยให้แก่พนักงาน เมื่อต้องออกจากงาน ซึ่งอาจเป็นจำนวนเท่ากับรายรับที่ท่านได้รับในเดือนสุดท้ายคูณกับจำนวนปีที่ทำงานมา หรือเป็นจำนวนเงินที่ท่านถูกหักสะสมไว้ระหว่างการทำงาน ซึ่งหมายความว่าท่านจะมีเงินในมือเพื่อใช้จ่ายเพิ่มเติมจากเงินที่กันไว้ในงบประมาณ เพื่อป้องกันรายจ่ายฉุกเฉินได้เป็นอย่างดี 2. ปรึกษาร่วมกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว เพื่อประหยัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นบางประเภทลง เพื่อจะได้มีเงินออมเพื่อรายจ่ายฉุกเฉินมากขึ้น 3. กรณีที่ท่านไม่สามารถปรับรายจ่ายอื่นๆเพื่อกันเป็นเงินออมฉุกเฉินไว้ได้อีกเลย ท่านอาจจำเป็นต้องขายทรัพย์สินบางอย่างที่ไม่จำเป็นต่อการครองชีพไป เช่น เครื่องดีวีดี รถยนต์คันที่สอง แหวนเพชร สร้อยคอทองคำ เป็นต้น
หากท่านได้พยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ปัญหานั้นยังคงมีอยู่ต่อไป เช่นท่านไม่สามารถหางานใหม่ทำได้เป็นเวลาถึง 2 ปีแล้ว ในกรณีนี้ท่านอาจจะต้องทำการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นการขายบ้านที่อยู่ในปัจจุบันและย้ายไปอยู่บ้านเช่าหรือหอพักที่มีราคาถูกลง และเก็บรายได้ส่วนที่ขายบ้านไว้เป็นทุนในการใช้จ่ายในช่วงเวลาที่ท่านและสมาชิกพยายามจะหาแนวทางใหม่ในการหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งโอกาสที่แต่ละครอบครัวจะเกิดปัญหานี้มีได้มามากนัก ยกเว้นกรณีของครอบครัวที่มีระดับรายได้ต่ำมากและหัวหน้าครอบครัวถึงแก่การเสียชีวิตโดยไม่ได้ทิ้งทรัพย์สินใดๆไว้ให้ผู้อยู่ในอุปการะเลย เท่านั้น
Top
แผนการในวัยเกษียณอายุ
ภายหลังการเกษียณอายุ ท่านจำเป็นต้องมีเงินออมสะสมมากเท่าใด จึงจะเพียงพอในการใช้จ่ายในช่วงหลังเกษียณอายุ โดยที่ท่านจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายเหมือนช่วงที่ท่านยังสามารถหารายได้ได้อยู่ การวางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณอายุจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยมีขั้นตอนในการกำหนดแผนงาน เป็น3 ขั้นตอน คือ
1. การกำหนดถึงความต้องการใช้เงินทุนว่าควรเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นเท่าใด 2. การกำหนดถึงจำนวนเงินที่ท่านสามารถจะหามาได้รวมทั้งหมด 3. กำหนดถึงความแตกต่างของจำนวนเงิน ระหว่างความต้องการเงินทุนและความสามารถในการหารายได้ของท่าน
การกำหนดความต้องการใช้เงินทุนในอนาคต ท่านควรจะเริ่มคำนึงถึงจำนวนรายจ่ายที่ท่านจำเป็นต้องใช้ในวัยชราก่อนว่ามีรายจ่ายประเภทใดบ้าง อย่างเช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าเดินทางท่องเที่ยว รายจ่ายเพื่องานอดิเรกของแต่ละบุคคล ฯลฯ ซึ่งรายจ่ายที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะเป็นรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในวัยชรา หลังจากนั้นจึงเริ่มกำหนดความต้องการเงินทุนในอนาคต ที่สำคัญท่านต้องไม่ลืมว่ายิ่งท่านอายุมากขึ้น เงินออมเพื่อรายจ่ายฉุกเฉินก็จะมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น
การกำหนดจำนวนเงินทุนที่สามารถหาได้ในอนาคต ท่านควรทราบระยะเวลาก่อนที่ท่านจะถึงกำหนดเกษียณอายุ เพื่อกำหนดเงินออมสะสมได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากอาชีพที่แตกต่างกันย่อมมีแผนการทางการเงินในอนาคตที่ต่างกัน อย่างเช่น หากท่านมีอาชีพรับราชการ ถึงแม้จะมีเงินเดือนน้อยในระหว่างอายุการทำงาน แต่ก็มีการให้บำเหน็จ บำนาญแก่ผู้ที่เกษียณอายุ ต่างกับผู้ที่มีอาชีพรับจ้าง หรือเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ดังนั้นการจัดสรรรายได้ รายจ่าย และเงินออมจึงเป็นหน้าที่ของแต่ละบุคคล
รายได้อื่นๆที่ท่านควรนำมาประมานการรายได้ภายหลังการเกษียณอายุ 1. เงินทุนประกันชีวิต (แบบสะสมทรัพย์ หรือแบบเงินได้รายปี) 2. เงินปันผลที่ได้รับจากการลงทุนในหลักทรัพย์ 3. ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน หรือการลงทุนในสถาบันอื่น รวมถึงผลกำไรจากการลงทุนโดยตรง 4. รายได้จากการขาย หรือให้เช่าทรัพย์สินส่วนบุคคล 5. กำไรส่วนทุนที่ได้รับจากหลักทรัพย์ที่ท่านถือไว้ 6. รายได้จากการทำงานพิเศษภายหลังการเกษียณอายุ 7. รายได้จากการมีลาภลอยหรือการเสี่ยงโชคอื่นใดทุกชนิด เช่น การถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล การถูกสลากออมสิน เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่างรายรับและรายจ่ายภายหลังการเกษียณอายุ หลังจากที่ท่านกำหนดรายรับ และรายจ่ายภายหลังการเกษียณอายุแล้วพบว่ามีความแตกต่างกันมาก ท่านควรวางแผนการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง หรือเริ่มต้นสะสมเงินออมในขณะที่ท่านยังมีรายได้ให้มากกว่าเดิม รวมไปถึงการนำเงินออมไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลในระยะยาวแบบดอกเบี้ยทบต้น และการลงทุนซื้อหลักทรัพย์ หรือกองทุนต่างๆเพื่อหวังเงินปันผลที่จะได้รับในอนาคต ทางที่ดีท่านควรจะรักษาให้มีความแตกต่างระหว่างรายได้ และรายจ่ายภายหลังการเกษียณอายุให้มีน้อยที่สุด หากท่านทราบถึงความแตกต่างระหว่างรายได้และรายจ่ายดังกล่าว ท่านควรพิจารณาถึงจำนวนเงินที่แตกต่างกันนั้น และพยายามนำส่วนที่เป็นเงินออมไปลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น |