อมรศักดิ์ พงศ์พศุตม์ amornsak@tax-thai.com
ธุรกิจรากหญ้าบางรายได้พิสูจน์แล้วว่า เขาและเธอต่างก็มีโอกาสเติบโต ร่ำรวย ไม่แพ้ใคร ถ้า?รู้จักคิด รู้จักเดิน และเดินถูกทาง!
รากหญ้ามีสิทธิ (รวย) มั๊ยครับ!
กล่าวได้ว่า ธุรกิจรากหญ้าเป็นผู้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคมเสมอมา ไม่ว่ายุคไหน สมัยใด หรือใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี
ชาวรากหญ้ามักเป็นผู้หาเช้ากินค่ำ ชักหน้าไม่ถึงหลัง และขาดโอกาสทางธุรกิจเสมอมา ด้วยสารพัดข้อจำกัด? วิธีค้าขายของชาวรากหญ้ามักเป็นลักษณะนั่งรอโชคชะตาฟ้าลิขิต หรือประกอบธุรกิจในลักษณะไปตายเอาดาบหน้าไม่มีแผน จึงไม่มีอนาคต
แต่?ธุรกิจรากหญ้าบางรายได้พิสูจน์แล้วว่า เขาและเธอต่างก็มีโอกาสเติบโต ร่ำรวย ไม่แพ้ใคร ถ้า?รู้จักคิด รู้จักเดิน และเดินถูกทาง!
ข้อเขียนในวันนี้?จะนำท่านผู้อ่านไปพบกับธุรกิจ home-based แท้ๆ ของสังคมไทย คือ กิจการของ ?ค่ายมวยแฟร์เท็กซ์?
2. กลยุทธ์ภาษี?ธุรกิจชกมวย (ไทย)
ถ้าเอ่ยถึง กีฬาพื้นบ้านของไทย ก็ต้องนึกถึงการชนไก่ (และแอ๊ด คาราบาว) บ่อนวัว (การชนวัว + พนันขันต่อ เล็กน้อย แฮ่ๆ) ประเพณีวิ่งควาย/แข่งเรือ และการชกมวย (ไทย) ฯลฯ
ซึ่งในวันนี้ เราจะโฟกัสไปที่กีฬามวยไทย ซึ่งอยู่คู่กับงานประจำปี/งานวัดของจังหวัดต่างๆ มาช้านาน?เรียกว่า งานใดถ้าไม่มีรายการมวย ก็คงกร่อยพิลึก!
ในชนบท จะใช้วิธีเปรียบมวยเพื่อประกบคู่ โดยกำหนดวันนัดหมายให้ยอดมวย/ผู้ที่อยากชกมวย (เพื่อหารายได้พิเศษ) มาพบปะกัน
วิธีประกบคู่ ก็คงต้องคำนึงถึงน้ำหนักตัว/ประวัติและสถิติการชก/ชื่อชั้น และความสามารถเป็นเกณฑ์ เพื่อให้เกมการชกคู่คี่ สูสี ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกัน โดยมักแบ่งเป็น 5 คู่/วัน ไล่เรียงขึ้นมาจนถึงคู่เอกของการชกในแต่ละรอบ
ค่ายมวยในต่างจังหวัดโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นประเภทสมัครเล่น คือ ซ้อมเพื่อออกกำลังกาย เพราะค่าตัวไม่สูง ไม่อาจดำรงชีพได้ ทั้งๆ ที่ ?มวยไทย? เป็นศิลปการต่อสู้ที่คลาสสิก ดุดัน และเป็นภูมิปัญญาที่สามารถอนุรักษ์เป็นมรดกโลกได้เลย?แต่คงเป็นเพราะความอ่อนด้อยของระบบการบริหารจัดการ และขาดการส่งเสริมจริงจังจากภาครัฐ จึงทำให้ความนิยมกลับสู้กีฬายูโด คาราเต้ (ญี่ปุ่น) เทควันโด (เกาหลี) และกังฟู (จีน) ไม่ได้?อะไรกันเนี่ย!?
แต่?วันนี้ ผู้เขียนได้พบเห็นโอกาส วิธีการ และอนาคตของกีฬามวยไทยแล้วจากรายการ ?สุริวิภา? ซึ่งเข้าสัมภาษณ์ ?บรรจง บุษราคัมวงษ์? เจ้าของ ?ค่ายมวยแฟร์เท็กซ์ (Fairtex)? บนพื้นที่ 3 ไร่ ย่านบางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของการทำธุรกิจและบริหารจัดการกิจการกีฬา และสปอร์ตคอมเพล็กซ์ ที่มีอนาคตสดใสชัดเจนมาก!
(1) พลิกปูม?กว่าจะเป็นค่ายมวย ?แฟร์เท็กซ์?
พื้นเพของคุณบรรจง (จีนแต้จิ๋วจากเมืองเซี่ยงไฮ้) หอบเสื่อผืนหมอนใบ ในวัย 3 ขวบ ติดตามคุณพ่อเข้ามาเมืองไทย โดยเริ่มจับธุรกิจตัวแทนจำหน่ายสินค้าหลากหลาย (trading firm) เช่น กระดุม กระดาษ ลิปสติก กระดาน ชอล์ก เป็นต้น โดยเป็นผู้ค้าส่ง (wholesaler) แก่ร้านค้าทั่วไป
เนื่องจากฐานะของครอบครัวค่อนข้างดี จึงทำให้คุณบรรจงได้มีโอกาสลัดฟ้าไปศึกษาในต่างประเทศตั้งแต่เยาว์วัยที่ฮ่องกง (มัธยม) และอเมริกา (ด้านบริหารธุรกิจ)?ทำให้มีความได้เปรียบ เพราะรู้ทั้งภาษาจีน และอังกฤษ (เป็นอย่างดี) และได้มีโอกาสเห็นความเจริญในโลกกว้าง
ธุรกิจเริ่มต้นและสร้างชื่อเสียงแก่คุณบรรจงฯ คือ การนำเข้าเสื้อผ้ายี่ห้อมองตากูร์ และตั้งโรงงานทอผ้า/ ย้อมผ้า และผลิตเสื้อผ้ายี่ห้อ ?Fairtex? ที่โด่งดังเป็นพลุเมื่อ 40 ปีก่อน!
การจัดตั้งค่ายมวย ?แฟร์เท็กซ์? เป็นเพราะชอบและมีใจรักในศิลปะมวยไทย?การเปิดค่ายมวยนั้นไม่ยาก แต่ความยากจะอยู่ที่โอกาสส่งนักมวยขึ้นชกตามเวทีมาตรฐาน คือ เวทีมวยราชดำเนิน และลุมพินี ซึ่งเป็นแหล่งอิทธิพลและผูกขาดโดยโปรโมเตอร์เพียงไม่กี่คน
(2) เปิดกลยุทธ์บริหารค่ายมวย?ให้มั่งคั่งและร่ำรวย
แน่นอนว่า ลำพังเพียงการส่งนักมวยขึ้นชก โดยได้ค่าตัวต่อครั้งเพียงหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท (กรณี ยอดมวย) ย่อมไม่คุ้มค่าในเชิงการค้าและธุรกิจ เพราะมีโสหุ้ยสูง คือ ค่าสถานที่ตั้งค่าย (ซึ่งต้องซื้อ หรือเช่าที่ดิน) ค่าก่อสร้างเวทีซ้อมและบ้านพักอาศัยแก่นักมวย/พี่เลี้ยง/และผู้ฝึกสอน ค่าอาหาร และรายจ่ายเบ็ดเตล็ดในแต่ละวัน ค่าเบี้ยเลี้ยงและส่วนแบ่งค่าตัวแก่นักมวยฯ เป็นต้น
ความจริงยังมีค่าภาษีอากรของค่ายมวย และตัวนักมวย ซึ่งต้องการบริหารจัดการและวางแผนภาษี เพื่อควบคุมรายจ่ายส่วนนี้ให้เหมาะสมและต่ำที่สุด เช่น การเลือกหน่วยภาษีของค่ายมวยว่าจะอยู่ในรูปบุคคล/คณะบุคคล/หรือบริษัทจำกัด ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของรายได้และผลกำไร สำหรับตัวนักมวยซึ่งมักถูกผูกมัดด้วยสัญญาสิทธิการชก และส่วนแบ่ง ค่าตัวฯ ทำให้ตัวนักมวยมีรายได้ต่ำ (กว่าที่ควรจะเป็น) ซึ่งอาจไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ฯ หรือเสียเพียงอัตราเบื้องต้นขั้นต่ำราว 10% เป็นต้น
มองดูรูปการณ์ถ้าดำเนินไปแบบเดิมๆ เช่นนี้ ย่อมฟันธงได้ว่า ทั้งค่ายมวยและตัวนักมวย ก็คงต้องจนดักดานเรื่อยไป (ไม่นับรายได้จากการพนันขันต่อ (ถ้ามี))
แต่ค่ายมวยแฟร์เท็กซ์ฯ แห่งนี้ ใช้กลยุทธ์ขยายธุรกรรมทั้งในแนวดิ่ง และแนวนอน (vertical and horizontal diversify of business) โดย
๐ เปิดแผนกสอนมวยไทย ให้แก่ฝรั่งต่างชาติฯ พร้อมบริการที่พักและอาหาร (ขณะนี้มีลูกค้า 30 คน)?ซึ่งถ้าหากไปยื่นขออนุญาตจัดตั้งในรูปโรงเรียนต่อกระทรวงการศึกษาธิการ ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล) VAT และส่วนแบ่งกำไร (เงินปันผล) ให้แก่ผู้ถือหุ้น เช่นเดียวกันกับโรงเรียนราษฎร์/วิทยาลัย/มหาวิทยาลัยเอกชน ทั้งหลาย
๐ การเปิดสปอร์ตคลับ ?แฟร์เท็กซ์-พัทยา? บนเนื้อที่ 8 ไร่ ในลักษณะสถานออกกำลังกายครบวงจร อาทิ มวย เทนนิส โยคะ ฟิตเนส เครื่องออกกำลังกายต่างๆ เป็นต้นนั้น มีแง่มุมธุรกิจและภาษีที่ต้องพิจารณาหลายประการ อาทิ แหล่งเงินทุนดำเนินการ ซึ่งหากกู้จากสถาบันการเงินฯ ก็จะมีภาระดอกเบี้ยจ่าย (เป็น taxable expenses ได้) ทำให้ผลประกอบการต่ำลง แต่เป็นการลดภาระความเสี่ยงจากการควักกระเป๋าใช้เงินทุนของตนเองในรูปของทุนจดทะเบียน (การจ่ายเงินปันผลนำมาหักรายจ่ายทางภาษีไม่ได้)
นอกจากนั้น ยังต้องประมาณการระยะเวลาคืนทุน และผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งก็คือเรื่องของ ผลประกอบการว่าจะมีกำไร/ขาดทุนอย่างไร ซึ่งจะเกี่ยวโยงกับการจัดโครงสร้างธุรกิจว่าจะเปิดเป็นบริษัทใหม่แยกต่างหากจากธุรกิจเดิมที่บางพลีหรือไม่?
ข้อดีของการเปิดสปอร์ตคลับแบบครบวงจรก็คือ ทำการตลาดได้ง่าย เพราะฐานลูกค้ากว้างกว่าการเปิดเพียงธุรกิจเดียว (โรงเรียนสอนมวย) แต่ข้อเสียคือ บริษัทใหม่นี้จะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีใดๆ ทั้งสิ้น (เพราะมิใช่โรงเรียนฯ)
๐ การเปิดโรงแรมห้าดาวฯ (พัทยา) ซึ่งถือเป็นการฉีกแนวของธุรกิจหลัก (เดิม) ย่อมมีส่วนดึงดูดลูกค้าชั้นดีมีระดับ ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ให้เข้ามาใช้บริการของทั้งสองส่วน (โรงแรม/สปอร์ตคลับ) จึงถือว่า สถานที่แห่งนี้มีแม่เหล็ก (business magnet) 2 ตัว พร้อมกัน ซึ่งจะมีผลดีต่อธุรกิจต่อเนื่องในอนาคต (ถ้ามี) เช่น การเปิดศูนย์การค้า/ การขายอาคารพาณิชย์ เป็นต้น (หากได้ chain แม่เหล็กของต่างประเทศ เช่น Mariot, Four Seasons Holiday Inn, Sheraton, Intercontinental etc เป็นต้น ก็จะยิ่ง success ทางการตลาดต่างชาติ)
ดูๆ ไปแล้ว การเพิ่มมูลค่าของที่ดินในอนาคต (unrealized capital gain) อาจเป็นเม็ดเงินที่สูงกว่ากำไรของธุรกิจหลักด้วยซ้ำ ซึ่งมูลค่าแฝงเช่นนี้ ยังไม่ต้องเสียภาษีเงินได้/ภาษีธุรกิจเฉพาะ จนกว่าจะมีการขายออกไป ซึ่งตามโครงสร้างกฎหมายภาษีในปัจจุบัน หากจะใช้วิธีโอนทางมรดกแก่บุตร ก็มิต้องเสียภาษีใดๆ เช่นเดียวกัน
๐ การเปิดโรงงานผลิตอุปกรณ์กีฬามวยฯ เช่น นวม กระสอบทราย เป้าชก เป็นต้น โดยขายทั่วไปทั้งในประเทศและส่งออกไปยังอเมริกา ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ตรงกับประสบการณ์และความชำนาญของคุณบรรจงฯ ซึ่งถือเป็นธุรกิจเสริม เพราะตลาดยังแคบ จึงเป็นเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงองค์กร คือไม่ต้องพึ่งพิงอุปกรณ์ยี่ห้ออื่น ซึ่งอาจซื้อหาได้ไม่ครบประเภทตามที่เราต้องการ?ในอนาคตแม้บริษัทฯ จะได้สิทธิลดอากรขาเข้า (จาก FTA) ในประเทศคู่ค้า เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา ฯลฯ ก็คงไม่มีผลต่อการเพิ่มยอดขายสักเท่าใด เพราะ demand สินค้าที่จะเพิ่มขึ้นนั้นแขวนอยู่กับความนิยมในกีฬามวยไทย ซึ่งต้องค่อยเป็นค่อยไปอีกระยะใหญ่ๆ ทีเดียว!
(3) เมื่อมวยไทย?หาญกล้ารุกคืบไปต่างแดน
กระแสคลั่งไคล้สนใจศิลปะการต่อสู้แบบ ?มวยไทย? (Muay-Thai) เริ่มเป็นที่แพร่หลายทั้งในญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา ฯลฯ โดยต่างชาติเริ่มรับรู้ถึงพิษสงมวยไทย และรู้ว่าแตกต่างจาก Kick Boxing ซึ่งเคยถูกลอกเลียนแบบและ นำไปโปรโมทจัดชกกันเอิกเกริกเมื่อ 30 ปีก่อน
ความร้อนแรงของมวยไทย ซึ่งแพร่หลายวงกว้างขึ้นก็คงต้องยกเครดิตให้แก่ภาพยนตร์ ?องค์บาก? และ ?ต้มยำกุ้ง? ซึ่งแสดงนำโดย พนม ยีรัมย์ (จา พนม หรือ Tony Ja) ซึ่งเป็นผู้เปิดกรุตำนานแม่ไม้มวยไชยา ซึ่งเกือบจะกลายเป็นนิยายปรัมปราในตำราไปแล้ว
ผู้เขียนได้เคยเขียนถึง และวิเคราะห์แนวโน้ม/โอกาสอภิมหาร่ำรวยของ Tony Ja ไว้ยาวเหยียดถึง 3 ตอน โดยจินตนาการถึง (อภิมหา) รายได้ ซึ่งจะได้รับจากการเป็นดาราอินเตอร์ฯ/Gift Sets ในลิขสิทธิ์ตรา Tony Ja/โรงเรียน สอนมวย ฯลฯ โดยโยงใยให้เห็นถึงวิธีจัดหน่วยภาษี (tax entity) โดยตั้งบริษัททั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการตั้ง Holding Company (ระหว่างเสี่ยจา + เสี่ยเจียง) โดยนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เพื่อลดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 25% (จดเข้าก่อน 31 ธ.ค. 48) และจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เช่นเดียวกับกรณีของการขายหุ้น Oishi, Shin Corp เป็นต้น
น่าเสียดายและสงสัยว่า ?ทำไมหมู่นี้ข่าวคราวของเสี่ยจา ถึงหายเงียบไป?ฤาสูเจ้าจะถูกบดบังด้วยข่าวม็อบก็ไม่รู้!??