เทคนิคเลือก"กองทุน" ที่เหมาะและใช่
โดยสรวิศ อิ่มบำรุง
อยากลงทุนในกองทุนรวมเหลือเกิน แต่ไม่รู้จะเลือกองทุนประเภทไหนดี!!!
จะซื้อกองทุนตราสารหนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าต้องดูปัจจัยอะไรบ้าง แล้วจะซื้อระยะสั้นหรือยาวดี!!!
มีเงินอยู่ก้อนหนึ่งไม่ใช่เงินเย็นซะทีเดียว แต่อยากจะลงทุนในกองทุนหุ้น ไม่รู้จะเหมาะหรือเปล่า!!
แค่เลือกลงทุนในกองทุนรวมอย่างเดียว ยังทำให้คุณเวียนหัวได้ไม่น้อย เพราะเดี๋ยวนี้กองทุนรวมมีผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็น "กองทุนรวมหุ้น" "กองทุนรวมแบบผสม" "กองทุนรวมตราสารหนี้" "กองทุนรวมตราสารตลาดเงิน" "กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์" "กองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF)" "กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)" หรือ "กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)"
การจะเลือกกองทุนรวมให้ตรงใจและตรงเงื่อนไขการลงทุนของคุณ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก Fundamentals สัปดาห์นี้ มีเทคนิคในการเลือกลงทุนในกองทุนรวมมานำเสนอ
...............................
อาจจะดูเป็นเรื่องยากสำหรับมือใหม่ในแวดวงกองทุนรวม ในการเฟ้นหากองทุนรวมที่เหมาะกับคุณ เพราะเงื่อนไขในการลงทุนของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ฉะนั้น กองทุนที่เหมาะกับนักลงทุนรายอื่น อาจจะไม่เหมาะกับคุณก็ได้ แล้วกองทุนแต่ละประเภท มีวิธีเลือกลงทุนอย่างไร ลองติดตามกัน
@กองทุนหุ้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ "ธีรวุฒิ สินธวถาวร" ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน บล.พรูเด้นท์ สยาม บอกว่า กองทุนหุ้นนั้นแบ่งเป็น 2 รูปแบบด้วยกัน คือ 1) "กองทุนหุ้นแบบ Active" ซึ่งมีสไตล์การลงทุนที่มุ่งจะเอาชนะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET) ที่ใช้เป็นดัชนีอ้างอิง หรือ Bench mark ให้มากที่สุด โดยจะใช้ความสามารถของ "ผู้จัดการกองทุน" เข้ามาช่วยในการเลือกหุ้น หรือจังหวะในการเข้าลงทุนเพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับกองทุน ดังนั้น กองทุนประเภทนี้จึงมีค่าธรรมเนียมการจัดการที่สูงกว่าเฉลี่ยประมาณ 1.5%
และ 2) "กองทุนหุ้นแบบ Passive" ซึ่งมีสไตล์การบริหารที่มุ่งจะเลียนแบบ Bench Mark ให้มากที่สุด โดยจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการสร้างพอร์ตลงทุนที่จะเลียนแบบไปกับดัชนีให้มากที่สุด จึงทำให้กองทุนหุ้นประเภทนี้มีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการที่ต่ำกว่าเฉลี่ยประมาณ 0.6-0.7% ประเด็นคือ นักลงทุนจะเลือกกองทุนให้เหมาะสมกับการลงทุนของตัวเองได้อย่างไร
"สำหรับนักลงทุนที่เน้นลงทุนแบบซื้อแล้วถือ (Buy and Hold) ควรจะเลือกกองทุนหุ้นแบบ Active ในขณะที่นักลงทุนที่เน้นการซื้อขายเป็นรอบๆ ตามดัชนีควรจะเลือกลงทุนกับกองทุนหุ้นแบบ Passive ส่วนนักลงทุนที่อาจจะมีความถนัดเฉพาะหุ้นบางกลุ่ม หุ้นบางตัวที่เรารู้จักเป็นพิเศษ ก็อาจจะซื้อขายหุ้นด้วยตัวเองเป็นรายตัวไปได้ นี่คือคำแนะนำในภาพรวม อย่างไรก็ตามแนะนำว่าในส่วนของพอร์ตหุ้นนั้นควรจะมีการลงทุนทั้ง 3 ส่วนนี้ผสมกันไป สำหรับคนที่เพิ่งหัดลงทุนในหุ้นใหม่ๆ ควรจะมีสัดส่วนของกองทุนหุ้นแบบ Active มากที่สุด กองทุนหุ้นแบบ Passive รองลงมา และหุ้นรายตัวน้อยที่สุด"
เนื่องจากกองทุนหุ้นแบบ Active เน้นการใช้ฝีมือของผู้จัดการกองทุน ธีรวุฒิ แนะนำให้เลือกกองทุนหุ้นประเภทนี้โดยดูจากผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนเหล่านั้นว่าผู้จัดการกองทุนเขาบริหารงานมาแล้วแพ้ตลาด(under perform) หรือชนะตลาด (out perform) เมื่อเทียบกับดัชนีอ้างอิง แล้วผู้จัดการกองทุนนั้นๆ ยังอยู่กับบลจ.นั้นอยู่หรือเปล่า เพราะบางทีคนเก่ง อาจจะถูกซื้อตัว ย้ายไปอยู่บลจ.อื่นแล้ว
ดังนั้น ผู้ลงทุนก็ต้องติดตามดูว่าผลการดำเนินงานของกองทุนหุ้น หลังจากที่ผู้จัดการกองทุนย้ายไปแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ หากผลการดำเนินงานปรับตัวแย่ลงก็เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณควรจะย้ายไปลงทุนที่อื่นดีกว่ามั้ย ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่บางบลจ.อาจจะเป็นการบริหารแบบตัดสินใจร่วมกันเป็นทีม ตรงนั้นก็คงต้องดูความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ทุกๆ เดือนกองทุนหุ้นแบบ Active จะมีการรายงานหุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนลงทุนอยู่ ผู้ลงทุนก็ควรจะดูว่ากองทุนเขาถือหุ้นอะไรอยู่ ไปเปิดดูว่านโยบายการลงทุนเขาเป็นอย่างไร ดูหุ้นที่กองทุนกับนโยบายการลงทุนแล้วไม่ขัดกับความรู้สึกเรา ไม่ใช่นโยบายลงทุนหุ้นพื้นฐานดี แต่ในพอร์ตมีหุ้นเก็งกำไร ก็เป็นอีกส่วนที่เราจะดูได้เช่นเดียวกัน
"ส่วนกองทุนหุ้นแบบ Passive นั้น เป็นกองทุนที่สร้างผลตอบแทนเกาะไปกับดัชนี ดังนั้น เราคงไม่ได้ดูที่ผลการดำเนินงานในอดีตเหมือนกับกองทุนหุ้นแบบ Active แต่จะเน้นดูในส่วนของค่าใช้จ่าย ค่าจัดการ แล้วค่าธรรมเนียมในการซื้อขายแต่ละครั้งให้ต่ำไว้ก่อน โดยช่วงไหนที่ตลาดหุ้นขึ้นสุดๆ ก็ควรขายออกไปก่อน แต่ถ้าตลาดหุ้นซบก็ค่อยกลับเข้ามาซื้อเล่นเป็รอบไป"
@กองทุนตราสารหนี้
ก็มีให้เลือกลงทุนหลากหลายทั้งกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวและกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น มีทั้งที่เป็นกองทุนเปิดและกองทุนปิด
อย่างไรก็ตาม ธีรวุฒิแนะนำว่า รูปแบบของกองทุนหุ้นที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนในปัจจุบันที่สุดควรจะเป็นกองทุนตราสารหนี้ที่มีกำหนดระยะเวลาการลงทุนที่แน่นอน เช่น 3 เดือน ,6 เดือน , 9 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งเป็นรูปแบบของกองทุนที่พัฒนาขึ้นมาจากกองทุนตราสารหนี้ในอดีต
นักลงทุนไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนจะถูกประเมินมูลค่าตามราคาตลาด (Mark to Market) แล้วสินทรัพย์สุทธิของกองทุนจะลดลงตอนที่เรากำลังจะขายออกหรือเปล่า หรือเงินตอนที่ขายคืนจะได้ครบเปล่า ผู้ลงทุนก็ไม่ต้องมานั่งกังวลกับเรื่องเหล่านี้ โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกระยะเวลาในการลงทุนได้เลยว่าจะเป็นกี่เดือน รู้ผลตอบแทนที่แน่นอน แล้วไปรับเงินต้นพร้อมกับผลตอบแทนคืนตอนปลายทางทีเดียวเลย ดังนั้น ถ้าต้องการจะลงทุนในตราสารหนี้กองทุนประเภทนี้เหมาะมาก ส่วนจะเลือกระยะเวลาในการลงทุนเท่าไรนั้นขึ้นกับ 2 ปัจจัย คือ
1)มุมมองของทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เราคิด ถ้าคิดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นต่อไปอีกก็ควรจะลงทุนสั้นๆ เพื่อให้การลงทุนของเราเกาะไปกับอัตราดอกเบี้ยที่กำลังปรับตัวขึ้น แต่ถ้าคิดว่าดอกเบี้ยน่าจะคงที่หรือน่าจะลงแล้ว คุณก็ควรจะฝากให้ยาวหน่อย เพื่อล็อกอัตราดอกเบี้ยที่สูงๆ ไว้ จะได้ไม่เสียโอกาสในการที่จะได้รับดอกเบี้ยสูง เมื่อดอกเบี้ยปรับตัวลงจริง และ
2)ความจำเป็นในการใช้เงิน ถ้าอีก 6 เดือนข้างหน้า คุณจะต้องนำเงินไปดาวน์บ้าน ก็จะเป็นตัวที่กำหนดเหมือนกันว่าคุณควรจะลงทุนในตราสารหนี้ที่สั้นหรือยาว
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรจะศึกษา"นโยบาย"ว่ากองทุนนั้นลงทุนในตราสารหนี้ประเภทไหนด้วย ไม่ใช่เห็นว่าเป็นกองทุนตราสารหนี้ ความเสี่ยงต่ำ แล้วก็เข้าไปซื้อ แต่จริงๆ แล้วผู้ลงทุนควรจะตามไปดูว่าในนโยบายเขาไปลงทุนในตราสารหนี้อะไร พันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ของธนาคารพาณิชย์ หรือ ตราสารหนี้เอกชน พวกหุ้นกู้หรือตั๋วแลกเงิน เพราะความเสี่ยงก็จะไม่เหมือนกัน เพราะบางครั้งบลจ.จะโชว์แต่ผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว ผู้ลงทุนก็ต้องไปถามว่าคุณลงทุนเหมือนกันมั้ย สำหรับผลตอบแทนที่แตกต่างกันนั้น ถ้าลงทุนเหมือนกันเป็นแอปเปิลกับแอปเปิลก็โอเค คุณก็ควรจะเลือกของคนที่เขาจ่ายผลตอบแทนที่สูงกว่า
@กองทุนรวมตราสารตลาดเงิน
เป็นกองทุนมีสภาพคล่องดีพอสมควร ถ้าเราไม่จำเป็นต้องใช้เงินแบบปัจจุบันทันด่วน เพราะกองทุนตราสารตลาดเงินสามารถที่จะซื้อขายได้ทุกวัน แต่เมื่อขายแล้วเงินจะโอนเข้าบัญชีหลังจากนั้น 1-2 วัน ธีรวุฒิ แนะนำว่า การเลือกลงทุนในกองทุนตราสารตลาดเงินควรจะดูใน 3 เรื่องด้วยกัน คือ
1) "สะดวก" คือผู้ลงทุนสามารถที่จะทำการซื้อขายได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์ทำรายการอัตโนมัติได้ เพราะถ้าต้องเดินไปที่แบงก์ทุกครั้งเพื่อทำรายการอาจจะไม่สะดวกสำหรับนักลงทุน
2) "รวดเร็ว" คือ เวลาสั่งขายแล้วให้เงินกลับมาเร็วที่สุด ถ้าขายวันนี้พรุ่งนี้ได้เงินเลยกับอีก 2 วันได้เงินตรงนี้ก็ต่างกัน เพราะวันที่อยู่ระหว่างทำรายการนั้นจะไม่มีดอกเบี้ยเกิดขึ้น ก็คงต้องมองว่าเวลาสั่งขายแล้วให้เงินกลับมาให้เร็วที่สุด หรือเวลาที่จะสับเปลี่ยนไปกองทุนอื่นให้ใช้เวลาน้อยที่สุดก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนและ
3) "ประหยัด" ทั้งนี้เพราะเราใช้กองทุนตราสารตลาดเงินเป็นกึ่งๆ แทนเงินฝากอออมทรัพย์นั่นเอง
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรจะเลือกกองทุนตราสารตลาดเงินที่มีขนาดใหญ่ เพราะจะมีข้อได้เปรียบอยู่ 2 ข้อ คือ กองทุนสามารถจะจัดการสภาพคล่องได้ดีกว่า เพราะมีจำนวนผู้ถือหน่วยจำนวนมาก
"ทุกๆ วันไม่ใช่ทุกคนจะแห่ไปถอนหมด ก็มีทั้งคนที่เข้าไปซื้อเพิ่ม คนที่เข้าไปถอน สภาพคล่องเขาก็ต้องบริหารไป แต่ถ้ากองทุนที่มีขนาดเล็กจะมีความน่ากลัวตรงที่ คือคนที่ลงทุนอยู่อาจจะมีไม่มากนัก หรือว่ามีรายใดรายหนึ่งที่ถืออยู่จำนวนมาก ถ้าเขาถอนหน่วยลงทุนออก มันอาจจะทำให้ผู้จัดการกองทุนต้องไปขายตราสารหนี้ที่ยังไม่ควรที่จะต้องถึงเวลาขาย ก็ต้องไปขาย ซึ่งจะทำให้กองทุนได้รับผลกระทบได้เหมือนกัน"
นอกจากนี้ กองทุนที่มีขนาดใหญ่จะทำให้กองทุนสามารถที่จะซื้อตราสารได้หลายตัวมากกว่ามีการกระจายการลงทุนได้ดีกว่า ซึ่งจะทำให้กองทุนมีการกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น สุดท้ายก็ควรจะติดตามตัวพอร์ตการลงทุนของกองทุนทุกสิ้นเดือน ว่าสัดส่วนการลงทุนเหมือนกับที่เราเคยเห็นในตอนแรกหรือเปล่า เพื่อเป็นการควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนอีกทางหนึ่งด้วย
@กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
ธีรวุฒิบอกว่า เงินที่จะนำมาลงทุนในกองทุน RMF นั้นต้องเป็นเงินเย็นจริงๆ เพราะเป็นการลงทุนระยะยาวกว่าจะได้ใช้เงินคุณก็อายุ 55 ปีแล้ว แต่สิ่งที่อยากจะย้ำให้ผู้ลงทุนทราบอีกครั้ง คือ กองทุน RMF เองนั้นมีนโยบายการลงทุนให้เลือกลงทุนหลายประเภทตามระดับความเสี่ยงตั้งแต่เสี่ยงต่ำไปถึงเสี่ยงสูง
แต่เนื่องจากกองทุน RMF เป็นการลงทุนระยะยาว จึงไม่อยากให้นักลงทุนกลัวความเสี่ยงจนเกินไป การลงทุนในกองทุน RMF ที่เป็นหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงมากที่สุด เพราะโดยธรรมชาติได้พิสูจน์มาแล้วว่าการลงทุนระยะยาวในหุ้นเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนอื่น เพราะได้พิสูจน์มาแล้ว อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าผู้ลงทุนสามารถที่จะ "สับเปลี่ยน" กองทุน RMF ได้ในระหว่างที่ลงทุน
@กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)
ธีรวุฒิแนะว่าเงินที่จะลงทุนในกองทุน LTF นั้น ก็ควรจะเป็นเงินเย็นเช่นเดียวกัน อย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกองทุน LTF เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้น ความเสี่ยงมีแน่นอน ฉะนั้นเรื่องของ "จังหวะเวลาในการเข้าซื้อ" จึงเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลกระทบต่อผลตอบแทนที่จะได้รับค่อนข้างมาก ไม่รวมเรื่องของภาษีซึ่งเป็นอะไรที่ได้รับอยู่แล้ว ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปซื้อกองทุน LTF ตอนที่ทุกคนกำลังมองว่าหุ้นจะขึ้นไปอีกๆ ซึ่งจังหวะแบบนั้นจริงๆ แล้วเป็นสัญญาณไม่ค่อยดีแล้ว ถ้าไปซื้อตอนนั้นคุณก็มีโอกาสที่จะขาดทุนได้จากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ได้เช่นเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์ในการเลือกกองทุน LTF นั้น ก็เหมือนการเลือกกองทุนหุ้นทั่วๆ ไป
"ทั้งกองทุน RMF และกองทุน LTF แนะนำให้ทยอยซื้ออย่างต่อเนื่อง อาจจะเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส แทนที่จะไปรอซื้อครั้งเดียวตอนปลายปี เพราะอาจจะไม่ใช่ไทม์มิ่งที่ดีที่สุดในการซื้อก็ได้"
@กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF)
เป็นกองทุนที่มีประโยชน์มากในเรื่องของการกระจายความเสี่ยง แล้วในปัจจุบันก็มีนโยบายให้เลือกลงทุนหลากหลายเช่นเดียวกัน แต่ธีรวุฒิแนะว่า ผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนในสิ่งที่เรา "เข้าใจ" บางครั้งนโยบายการลงทุนที่ฟังดูดี แต่เราฟังแล้วยังไม่เข้าใจก็ควรจะหลีกเลี่ยงไปก่อน เพราะคุณจะติดตามการลงทุนไม่ถูก ไม่รู้ว่าเมื่อไรคุณควรจะซื้อหรือขาย นอกจากนี้ผู้ลงทุนจะต้องคำนึงถึงใน 4 เรื่อง เมื่อจะเข้าไปลงทุนในกองทุน FIF คือ 1) "ตราสารที่ลงทุน" ดูว่ากองทุนไปลงทุนในอะไร 2) "ความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน" เพราะกำไรของกองทุนส่วนหนึ่งจะมาจากอัตราแลกเปลี่ยน
3) "ความคล่องตัวในการขายคืน" เพราะโดยปกติแล้วกองทุน FIF จะมีความคล่องตัวในการขายคืนน้อยกว่ากองทุนรวมทั่วๆ ไป แม้ว่ากองทุน FIF อาจจะซื้อได้ทุกวันไม่แตกต่างกันกับกองทุนรวมทั่วไป แต่อาจจะขายคืนได้เดือนละ 2 ครั้ง หรือ 4 ครั้ง ตรงนี้ผู้ลงทุนก็ควรจะรู้ก่อนที่จะลงทุนเพื่อที่จะได้จัดเงินได้ถูกว่าเงินตรงไหนที่สามารถจะเอาไปลงทุนกับกองทุน FIF ได้ และ 4) "ค่าใช้จ่าย" ซึ่งโดยปกติแล้วกองทุน FIF จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ากองทุนรวมปกติทั่วไป เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเกิดขึ้น
@กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
ธีรวุฒิแนะนำว่า เงินที่จะนำมาลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์นั้นควรจะเป็นเงินเย็น โดยผู้ลงทุนควรจะศึกษา "แนวทางการลงทุน" ของกองทุนให้เข้าใจ ซึ่งโดยปกติแล้วกองทุนอสังหาริมทรัพย์จะเข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ใน 2 ลักษณะ คือ 1)ไปซื้อขาดเลย 2)ไปซื้อสิทธิการเช่า ตรงนี้ผู้ลงทุนก็ต้องศึกษาดูให้ดีว่ากองทุนเข้าไปลงทุนในลักษณะใด รวมถึง "โครงสร้างรายได้" ของกองทุนเป็นอย่างไร จะมีการรับรู้รายได้ในรูปแบบไหน ได้เป็นค่าเช่าหรืออะไร เป็นค่าเช่าที่มาจากส่วนไหน เช่น ค่าเช่าที่มาจากที่พักอาศัยเท่าไร เป็นส่วนของอาคารพาณิชย์เท่าไร เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังควรดูไปถึง "แนวโน้มการเติบโต" ของรายได้ด้วย ถ้ากองทุนมีที่ดินมากแล้วในอนาคตมีโอกาสที่จะสร้างตึกขึ้นมาเพิ่มได้อีก แบบนี้ในอนาคตกองทุนก็มีโอกาสที่จะได้รับค่าเช่าเพิ่มในอนาคตได้ หรือการปรับขึ้นอัตราค่าเช่าในอนาคตซึ่งจะเป็นส่วนที่เป็นอัพไซด์ให้กับกองทุนของเราด้วย
คำแนะนำเหล่านี้คงพอช่วยให้ผู้ลงทุน สามารถที่จะเลือกลงทุนในกองทุนรวมประเภทต่างๆ ได้สอดคล้องกับความต้องการลงทุนของตัวเองได้ดียิ่งขึ้นไม่มากก็น้อย
|