รับเงินจากผู้ประกอบการแล้วไม่ประเมินภาษี
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 7 สำนักงานสรรพากรจังหวัดในส่วนภูมิภาค ได้ทำการตรวจปฏิบัติการผู้ประกอบการรายบริษัท ก. จำกัด ปรากฎว่าจากการตรวจปฏิบัติการพบว่า บริษัทดังกล่าวได้ใช้ใบกำกับปลอมจำนวนหลายฉบับมาเป็นใบกำกับภาษีซื้อ เจ้าหน้าที่ดังกล่าวจึงได้ให้บริษัทยื่นชำระภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม โดยขอลดเบี้ยปรับตามมาตรการผ่อนปรนของกรมสรรพากร รวมเป็นเงิน 2 ล้านเศษ แต่ก็ยังมีใบกำกับภาษีปลอมของห้างหุ้นส่วนจำกัด ข. และ ค. ที่บริษัท ก. จำกัด ใช้เป็นภาษีซื้อยังไม่มีการประเมินอีกส่วนหนึ่ง เจ้าหน้าที่อ้างเหตุผลที่ไม่ทำการประเมินว่า เป็นเพราะเพิ่งได้รับแจ้งจากภาค ภายหลังจากส่งเรื่องไปให้ฝ่ายตรวจสอบออกหมายเรียกแล้ว ซึ่งข้ออ้างดังกล่าวไม่มีเหตุผลอันควรรับฟังเพราะในวันที่มีการออกตรวจปฏิบัติการที่บริษัท ก. จำกัด ไม่มีการเข้าตรวจปฏิบัติการรายบริษัท ง. จำกัด ด้วย และพบว่าบริษัท ง. จำกัด ใช้ใบกำกับปลอมของกลุ่มห้างหุ้นส่วนจำกัด ข. และ ค. เป็นใบกำกับปลอม อีกทั้งเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับเงินจำนวนหนึ่งแสนบาทเศษจาก บริษัท ก. จำกัด แม้ที่ปรึกษาของ บริษัท ก. จำกัด จะให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวนว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลมารดาของเจ้าหน้าที่ เหตุที่ให้ก็เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ให้บริการและคำแนะนำด้วยดีก็ตาม แต่ก็ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟัง เพราะเมื่อพิจารณาถึงจำนวนเงินแล้วเป็นเงินจำนวนมากผิดปกติวิสัยที่บุคคลทั่วไปพึงจะมอบให้แก่กันโดยเสน่หา อีกทั้งมิได้เป็นเครือญาติและสนิทสนมกันมาก่อนแต่ประการใด
พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวที่ไม่ทำการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณี บริษัท ก. จำกัด ใช้ใบกำกับภาษีปลอมของห้างหุ้นส่วนจำกัด ข. และ ค. มีมูลเหตุจูงใจมาจากที่ได้รับเงินจากกรรมการผู้จัดการบริษัท ก. จำกัด ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามมาตรา 82 และมาตรา 98 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 โทษที่ได้รับคือ ไล่ออกจากราชการ
|